Please wait...

E-catalogue
สายด่วน
0
Loading...
0
คุณไม่มีรายการสินค้าในตะกร้าของคุณ
0 สินค้าในตะกร้า
ยอดรวมรถเข็น : 0
×
พัดลมอุตสาหกรรม สำคัญอย่างไร? ต่อโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า

พัดลมอุตสาหกรรม สำคัญอย่างไร? ต่อโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า พัดลมอุตสาหกรรม ช่วยสร้างอากาศบริสุทธิ์ปลอดภัยต่อสุขภาพ การไหลเวียนของอากาศช่วยสร้างให้อากาศมีระดับออกซิเจนที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตทั้งในการทำกิจกรรมต่างๆ และการทำงาน โดยเฉพาะการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าที่อยู่ในอาคารปิดที่อาจมีอากาศไหลเวียนน้อย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและสินค้าร่วมไปถึงสภาพแวดล้อม โรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าจึงต้องมีการติดตั้งพัดลมอุตสาหกรรม เพื่อให้มีการไหลเวียนของอากาศที่ช่วยให้อากาศภายในอาคารมีออกซิเจนเพียงพอ มีอุณภูมิที่เหมาะสม ปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ และปราศจากมลพิษ ที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและเป็นผลดีต่อสุขภาพของพนักงาน นอกจากนั้นยังช่วยลดการปนเปื้อนและการเสื่อมคุณภาพของสินค้าจากอุณหภูมิที่สูงภายในอาคารได้อีกด้วย พัดลมอุตสาหกรรม อุปกรณ์ที่ช่วยระบายอากาศเสีย นำเข้าอากาศดี พัดลมอุตสาหกรรมจะมีขนาดใหญ่ มีกำลังแรงที่สูง มีความแข็งแรง และทนทานมากกว่าพัดลมตามบ้านทั่วไปเนื่องจากต้องถูกใช้งานในพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ พัดลมอุตสาหกรรมจึงต้องมีมอเตอร์ขนาดใหญ่เพื่อให้มีกำลังไฟที่สูง มีใบพัดที่มีหน้ากว้าง อุปกรณ์ผลิตจากวัสดุที่เน้นความแข็งแรงและมีคุณภาพเพราะมีการใช้งานตลอดเวลา นอกจากคุณสมบัติหลักแล้วความเงียบก็เป็นสิ่งที่พัดลมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูงควรมี เนื่องจากในบางอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้า ความเงียบมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานเพราะความเงียบสามารถทำให้พนักงานมีสมาธิกับงานและช่วยลดความผิดพลาดในการสื่อสารระหว่างปฏิบัติงานได้ นอกจากนั้นหากพัดลมอุตสาหกรรมไม่มีเสียงดังจากมอเตอร์ที่ทำงานจะช่วยให้พบความผิดปกติของเครื่องจักรหรือเครื่องมือต่าง ๆ จากเสียงที่แปลกไปจากเดิมได้ ทำให้สามารถเข้าไปตรวจสอบและแก้ไขได้ทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่เป็นอันตราย ตามมาตรฐาน JIS ได้ใช้แรงดันลมเป็นตัวกำหนดชื่อเรียกเพื่อใช้เรียกพัดลมอุตสาหกรรมในการใช้งานได้ถูกต้อง ซึ่งหากมีแรงดันลมที่ต่ำกว่า 1,000 มิลลิเมตรน้ำ เรียกว่า พัดลม แต่ถ้ามีแรงดันลมตั้งแต่ 1,000 มิลลิเมตรน้ำ เรียกว่า โบลเวอร์ นอกจากนั้นพัดลมอุตสาหกรรมยังมีการแบ่งประเภทตามลักษณะการเคลื่อนที่ของอากาศซึ่งมีผลทำให้การใช้งานมีความแตกต่างกันออกไป ประเภทของพัดลมอุตสาหกรรม พัดลมอุตสาหกรรมที่แบ่งตามลักษณะการเคลื่อนที่ของอากาศมีด้วยกัน 2 ประเภท คือ พัดลมอุตสาหกรรมที่อากาศเคลื่อนที่แบบหมุนเหวี่ยง (Centrifugal Flow Fans) เหมาะกับงานที่มีความต้านทานลมสูง เนื่องจากทิศทางการไหลเข้าของอากาศจะขนานกับแกนใบพัด แต่ทิศทางการไหลออกของอากาศจะไหลออกในแนวตั้งฉากกับแกนของใบพัด ซึ่งเกิดจากใบพัดเล็ก ๆ หลายใบที่ประกอบเข้าด้วยกันคล้ายกงล้อที่หมุนอยู่ภายในตัวเรือนของพัดลมซึ่งเมื่อเกิดการหมุนของใบพัดความดันอากาศจะมีความต้านทานที่สูงขึ้นภายในตัวเรือนของพัดลม สามารถเพิ่มค่าความต้านทานของความดันอากาศได้โดยเพิ่มความยาวของใบพัด พัดลมอุตสาหกรรมประเภทนี้ยังแยกย่อยออกมาเป็น 3 ลักษณะโดยแบ่งตามรูปแบบของใบพัด พัดลมอุตสาหกรรมแบบใบพัดรัศมีตรง (Straight blade หรือ Radial fans) ลักษณะของใบพัดจะตรงและเป็นแนวตั้งฉาก จำนวนใบพัดมี 5-20 ใบ มีเพลาขนาดใหญ่ ความเร็วรอบใบพัดชนิดนี้อย่างต่ำประมาณ 500 - 3,000 รอบ/นาที ปริมาตรของอากาศที่ถูกขับเคลื่อนจึงมีจำนวนน้อย แต่มีค่ากดดันอากาศสูง เหมาะกับงานระบายอากาศเสียออกไปภายนอกหรือมีฝุ่นจำนวนมาก และงานที่มีการขนถ่ายวัสดุ พัดลมอุตสาหกรรมแบบใบพัดโค้งไปข้างหน้า (Forward Curved Blade Fans) ใบพัดทั้งหมดจะมีลักษณะเอียงไปข้างหน้าจำนวนใบพัดประมาณ 20-60 ใบ มีความเร็วรอบใบพัดที่สูงกว่าชนิดแรก มีเสียงการทำงานที่เบา มีค่าความดันลมและอัตราการไหลของอากาศสูงที่สุด และเมื่อขณะเครื่องทำงานไม่ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือน แต่พัดลมอุตสากรรมแบบใบพัดโค้งไปข้างหน้าไม่เหมาะสำหรับงานที่มีอัตราการไหลของอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพราะมีช่วงการทำงานที่ไม่เสถียรและมอเตอร์อาจทำงานเกินกำลังได้ แต่ก็ยังเป็นที่นิยมในการใช้งานเพราะมีราคาที่ย่อมเยา พัดลมอุตสาหกรรมแบบใบพัดโค้งไปด้านหลัง (Backward Curved Blade Fans) ใบพัดจะลักษณะเอียงไปข้างหลังทั้งหมด จำนวนของใบพัดประมาณ 10-50 ใบ มีความเร็วรอบใบพัดที่สูง และมีเสียงจากการทำงานเพียงเล็กน้อย ใบพัดชนิดนี้จะเกิดการสั่นสะเทือนภายในระบบขณะที่ใช้งานจึงควรติดตั้งบนโครงสร้างที่มีความแข็งแรงเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการพังทลายของผนังอาคาร ใบพัดชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้ระบายอากาศเพื่อทำให้ภายในอาคารมีระดับออกซิเจนที่เหมาะสม และพัดลมอุตสาหกรรมชนิดนี้มีราคาสูงกว่าพัดลมอุตสาหกรรมแบบใบพัดโค้งไปข้างหน้า พัดลมอุตสาหกรรมแบบอากาศไหลตามแนวแกน (Axial Flow Fan) เหมาะกับงานที่มีความต้านทานลมต่ำ เนื่องจากทิศทางการไหลของอากาศจะขนานกับแกนของใบพัดและตั้งฉากกับระนาบการหมุนของใบพัด โดยชุดของใบพัดติดตั้งบนแกนเพลาโดยใช้กำลังมอเตอร์ในการขับเคลื่อนซึ่งอยู่ภายในของตัวเรือนใบพัดทำให้มอเตอร์สามารถระบายความร้อนออกไปพร้อมกับอากาศที่ไหลออกไปภายนอกได้ แต่ช่วงการทำงานของใบพัดชนิดนี้ไม่เสถียรและมีเสียงดังขณะทำงาน จึงเหมาะกับการระบายอากาศในอาคารที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก เนื่องด้วย พัดลมอุตสาหกรรมชนิดนี้ส่วนมากมีขนาดที่เล็กและราคาถูก โดยสามารถแยกย่อยออกเป็น 2 ลักษณะตามรูปแบบของการเคลื่อนที่ของลม พัดลมอุตสาหกรรมที่ลมหมุนเป็นเกลียว (Tube Axial Fans) จะให้ค่าความดันลมปานกลาง ทิศทางการไหลของอากาศจะไหลไปตามแนวแกนจากด้านหลังไปด้านหน้า ซึ่งเกิดจากชุดใบพัดที่หมุนอยู่ภายในท่อรูปทรงกระบอก ทำให้ลมถูกขับเคลื่อนผ่านชุดใบพัดโดยมีลักษณะหมุนเป็นเกลียว พัดลมอุตสาหกรรมชนิดนี้เสียงดังกว่าพัดลมอุตสาหกรรมชนิดอื่น มีขนาดเล็กและราคาถูกกว่า นิยมใช้ในการดูดระบายอากาศ หรือส่งลมตามท่อ พัดลมอุตสาหกรรมที่ลมไหลเป็นเส้นตรง (Vane Axial Fans) ทิศทางการไหลของอากาศจะไหลเป็นแนวเส้นตรงเกิดจากการควบคุมทิศทางของแผ่นครีบที่ติดตั้งไว้ โดยขับเคลื่อนด้วยตัวเรือนของพัดลม บริเวณท่อทางออกด้านหลังของชุดใบพัด ซึ่งทิศทางการหมุนดังกล่าวจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานการไหลของอากาศทำให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น ส่งผลให้พัดลมอุตสาหกรรมชนิดนี้มีราคาที่สูงกว่าชนิดแรก ปัจจัยในการเลือกพัดลมอุตสาหกรรมให้ถูกต้องกับลักษณะงาน ด้วยพัดลมอุตสาหกรรมใช้การเคลื่อนที่ผ่านอากาศ มีทั้งขนาดและราคาที่แตกต่างกัน การเลือกใช้งานจึงต้องเลือกใช้พัดลมอุตสาหกรรมให้ถูกประเภทเพราะมีผลต่อประสิทธิภาพในการใช้งานโดยตรง ซึ่งปัจจัยดังต่อไปนี้มีจะมีส่วนช่วยให้สามารถเลือกใช้พัดลมอุตสาหกรรมได้ถูกต้องกับลักษณะการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ขนาดและความถี่ของพัดลมอุตสาหกรรม ขนาดและความถี่ของใบพัดมีผลต่อความแรงและความเร็วของกระแสลม จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานจะช่วยให้มีประสิทธิภาพในการนำเข้าและส่งออกของอากาศ ลักษณะของใบพัด พัดใบที่มีลักษณะที่แตกต่างกันมีผลต่อลักษณะการเคลื่อนที่ของอากาศ เช่น ใบพัดรัศมีตรง, ใบพัดโค้งไปข้างหน้า หรือใบพัดโค้งไปข้างหลัง จึงทำให้มีความเหมาะสมในการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ลักษณและขนาดของพื้นที่ในการติดตั้ง มีผลอย่างมากในการเลือกใช้พัดลมอุตสาหกรรม เพราะมีผลต่อการกระจายอากาศให้ครอบคลุมทั่วพื้นที่ รวมไปถึงรูปแบบการติดตั้งที่มีทั้งแบบติดตั้งบนผนัง บนฝ้าเพดาน หรือตั้งบนพื้น เช่น หากเป็นอาคารที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการใช้พัดลมอุตสาหกรรมในการระบายอากาศก็ควรเลือกใช้พัดลมอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ซึ่งมีส่งผลต่อจำนวนเครื่องที่ใช้ในพื้นที่ และควรติดตั้งบนผนังหรือบนฝ้าเพดานเพื่อให้เกิดการกระจายอากาศอย่างทั่วถึง งบประมาณในการซื้อ พัดลมอุตสาหกรรมแต่ละประเภท มีราคาที่แตกต่างกันทำให้ส่งผลต่อการเลือกซื้อดังนั้นก่อนการเลือกซื้อจึงต้องคำนวณงบประมาณและคำนึงถึงการใช้งานและประโยชน์ที่ได้รับเพื่อให้คุ้มค่ามากที่สุด อายุในการใช้งาน ส่วนใหญ่พัดลมอุตสากรรมจะมีการใช้งาน 24 ชั่วโมงโดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรม พัดลมอุตสาหกรรมจึงต้องผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทานและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานเพื่อรองรับการใช้งานที่ไม่สามารถหยุดได้เพราะจะมีผลต่อกระบวนการทำงานในส่วนต่างๆ มาตรฐานของพัดลมอุตสาหกรรม ควรเลือกใช้พัดลมอุตสาหกรรมที่มีมาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน โดยควรมีมาตรฐานรับรองคุณภาพ เช่น มอก. เป็นต้น ประโยชน์ของพัดลมอุตสาหกรรม ช่วยระบายอากาศ ภายในโรงงานอุตสาหกรรมมักมีความร้อนสะสมที่เกิดจากกระบวนการต่าง ๆ ภายในโรงงานอุตสาหกรรม พัดลมอุตสาหกรรมจึงเข้ามาช่วยระบายความร้อนสะสม ลดความเสี่ยงที่จะเกิดเพลิงไหม้หรือการระเบิดภายในโรงงานอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี ช่วยลดมลพิษ ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าอาจมีสิ่งปนเปื้อนภายในอากาศ เช่น ฝุ่น ละออง หรือสารเคมี การระบายอากาศจะช่วยทำให้มีการหมุนเวียนของอากาศดีและอากาศเสียทำให้มีอากาศบริสุทธิ์ภายในอาคารมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของพนักงานและการเสื่อมสภาพของสินค้า ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย ในปัจจุบันอุตสาหกรรมของพัดลมอุตสาหกรรมมีการผลิตพัดลมอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานในการทำงานน้อยลง ช่วยให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น พัดลมอุตสาหกรรมเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบกลไกในการนำอากาศบริสุทธ์ภายนอกเข้ามาภายใน ช่วยรักษาอุณหภูมิและความชื้น ลดอันตรายจากการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิด ขจัดสารปนเปื้อนของอากาศภายในโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้า เพื่อสร้างให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมและปลอดภัยในการทำงาน นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดต้นทุนสำหรับการทำความร้อนและความเย็นภายในพื้นที่ปฎิบัติงานได้อีกด้วย Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายพัดลมอุตสาหกรรม, พัดลมตั้งพื้น, พัดลมขาตั้ง พัดลมฟาร์ม, พัดลมติดผนัง โบลเวอร์ ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ได้รับมาตรฐาน มอก. 934-2558 ที่สามารถปรับความแรงและทิศทางของลมได้ตามต้องการ ใบพัดผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง ฐานผลิตจากเหล็กจึงทนทานต่อการใช้งาน ขับเคลื่อนด้วยพลังมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง มาพร้อมความปลอดภัยด้วยระบบตัดไฟอัตโนมัติ คุ้มค่า คุ้มราคา พร้อมการรับประกันสินค้าและยินดีให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ สนใจพัดลมอุตสาหกรรม พัดลมตั้งพื้น, พัดลมขาตั้ง พัดลมฟาร์ม, พัดลมติดผนัง โบลเวอร์ ติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ถังดับเพลิง มาตรฐานความปลอดภัยในอาคาร

ถังดับเพลิง มาตรฐานความปลอดภัยในอาคาร ถังดับเพลิงอุปกรณ์ที่ใช้ดับไฟไหม้ที่ทุกอาคารต้องมี! ในอาคารตามทางเดินทุกคนจะต้องได้พบเจออุปกรณ์ป้องกันภัยอย่างถังดับเพลิง ถังสีแดงสดใสที่เราเห็นจนคุ้นตาที่ใช้ในการดับไฟไหม้เพื่อลดความเสียหายหรือความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ภายในอาคารจะต้องติดตั้งถังดับเพลิงไว้เป็นระยะเพื่อให้สะดวกและรวดเร็วในการดับไฟไหม้ ซึ่งการใช้งานถังดับเพลิงผู้ใช้งานควรมีความรู้ในการใช้งาน เนื่องจากถังดับเพลิงมีหลายประเภทและมีการใช้งานที่แตกต่างกันตามวัสดุที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ หากใช้งานผิดประเภทอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ถังดับเพลิง อุปกรณ์ที่ช่วยลดการลุกลามของไฟ ยกระดับความปลอดภัยในอาคาร ส่วนประกอบและวิธีใช้งานถังดับเพลิง ถังดับเพลิงจะประกอบไปด้วย คันบีบ สลักนิรภัย หัววาล์ว มาตรแรงดัน สายฉีด ตัวถัง ท่อส่งวาล์ว สารที่ใช้ในการดับไฟ ก๊าซไนโตรเจน (บางประเภทมีและไม่มี) โดยเมื่อต้องการใช้งานควรวางถังดับเพลิงไว้บนพื้นดึงสลักนิรภัยออกเพื่อให้หัววาล์วเปิด ปล่อยสายฉีดออกจากตัวล็อคและถือไว้หลังจากนั้นกดคันบีบเพื่อให้หัววาล์วปล่อยแรงดันออกจากถังดับเพลิงโดยที่แรงดันจะทำหน้าที่ผลักให้สารที่ใช้ในการดับไฟและก๊าซไนโตรเจนที่อยู่ภายในถังถูกดันออกมาผ่านท่อส่งวาล์วและสายฉีด สารที่ใช้ในการดับไฟจะคลุมไฟเพื่อลดความร้อนจนไม่ทำให้เกิดการลุกลามของไฟ สำหรับก๊าซไนโตรเจนจะช่วยลดปริมาณของออกซิเจนให้น้อยลงจนไม่ติดไฟ ในส่วนของมาตรแรงดันจะเป็นอุปกรณ์ที่บอกปริมาณของแรงดันสำหรับใช้ในการฉีดสารดับเพลิงออกมาจากถังดับเพลิง ซึ่งถ้าเข็มของมาตรแรงดันออกนอกจากแถบสีเขียวไม่ควรนำมาใช้งานและควรส่งไปตรวจสอบ และตัวถังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้บรรจุหัววาล์ว ท่อส่งวาล์ ผงเคมีแห้งหรือก๊าซไนโตรเจนเพื่อให้การใช้งานถังดับเพลิงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด ความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของถังดับเพลิงและประเภทของเพลิงไหม้ ก่อนที่เรารู้จักกับประเภทของถังดับเพลิงเราต้องรู้จักประเภทของเพลิงไหม้ก่อนเพราะมีผลต่อการเลือกใช้ถังดับเพลิงเป็นอย่างมาก การเกิดเพลิงไหม้มีองค์ประกอบด้วยกัน 3 องค์ประกอบ คือ เชื้อเพลิง ความร้อน และออกซิเจน แต่องค์ประกอบหลักที่มีผลต่อระดับความรุนแรงของเพลิงไหม้ คือ เชื้อเพลิง เพราะเชื้อเพลิงที่ต่างชนิดกันย่อมมีองค์ประกอบและมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน รวมไปถึงสารที่จะใช้ในการดับเพลิงไหม้ ซึ่งประเภทของเพลิงไหม้มีด้วยกัน 5 ประเภท ดังนี้ เพลิงไหม้ประเภท A (Ordinary Combustibles) เชื้อเพลิงคือ ไม้ ผ้า กระดาษ ขยะ พลาสติก หรือวัสดุที่ติดไฟได้ง่ายและพบได้ทั่วไป เพลิงไหม้ประเภท B (Flammable Liquids) เชื้อเพลิงคือ ของเหลวที่ติดไฟ มีส่วนประกอบของน้ำมันดิบ, น้ำมันก๊าซ, น้ำมันเบนซิน และก๊าซไวไฟ สามารถลุกไหม้ได้นาน เพลิงไหม้ประเภท C (Electrical Equipment) เชื้อเพลิงคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ยังมีกระแสไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา เช่น มอเตอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ตัวแปลงกระแสไฟฟ้า ฯลฯ ที่ทำให้เกิดความร้อนสูงหรืออุปกรณ์มีการชำรุดเสียหาย ข้อควรระวังสำหรับเพลิงไหม้ประเภท C คือควรตัดระบบไฟฟ้าก่อนทำการดับไฟ เพลิงไหม้ประเภท D (Combustible Metals) เชื้อเพลิงคือ โลหะติดไฟได้ เช่น ไทเทเนียม (Titanium), แมกนีเซียม (Magnesium), อลูมิเนียม (Aluminium) และ โพแทสเซียม (Potassium) ฯลฯ เป็นเชื้อเพลิงที่พบได้ในห้องปฏิบัติการ ห้องทดลอง หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องใช้โลหะดังกล่าวในกระบวนการต่าง ๆ เพลิงไหม้ประเภท K (Combustible Cooking) เชื้อเพลิงคืออุปกรณ์ในครัว เช่น เครื่องครัว, น้ำมันพืช, ไขมันสัตว์, ของเหลวต่าง ๆ ฯลฯ ด้วยเชื้อเพลิงที่แตกต่างกันส่งผลให้มีวิธีการและสารที่ใช้ในการดับไฟไหม้ที่แตกต่างกันออกไป จึงทำให้ถังดับเพลิงมีหลายประเภทเช่นเดียวกันเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งาน ซึ่งประเภทของถังดับเพลิงที่นิยมใช้ในอาคารมีทั้งหมด 6 ประเภทดังนี้ ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง (Dry Chemical Extinguishers) เป็นถังดับเพลิงสีแดงภายในถังดับเพลิงชนิดนี้จะบรรจุผงเคมีแห้งและอัดก๊าซไนโตรเจน โดยส่วนประกอบทั้ง 2 ชนิดจะช่วยระงับการเกิดปฏิกริยาทางเคมีที่ทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยเมื่อฉีดออกมาจากถังดับเพลิงจะมีลักษณะฟุ้งกระจายและเป็นฝุ่นผงเคมีช่วยขัดขวางการลุกไหม้ของเชื้อเพลิงกับออกซิเจน แต่เมื่อฉีดไปแล้วถึงแม้สารที่อยู่ในถังดับเพลิงจะหมดหรือไม่หมดแรงดันในถังจะลดลงและไม่สามารถใช้งานได้อีกต้องส่งบรรจุใหม่เท่านั้น ถังดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้งใช้สำหรับเพลิงไหม้ประเภท A, B และ C เหมาะสำหรับติดตั้งในอาคารพักอาศัย, บ้าน, โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งถังดับเพลิงชนิดนี้เป็นที่นิยมในการใช้งานเพราะราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาเหลวระเหย (Clean Agent) เป็นถังดับเพลิงสีเขียวภายในถังดับเพลิงจะบรรจุสารฮาโลตรอน (Halotron) หรือสาร HFC-236fa (FE-36) แต่สาร HFC-236fa จะเป็นที่นิยมมากกว่าเนื่องจากไม่ทิ้งคราบตกค้าง จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งสาร HFC-236fa เป็นสารเคมีเหลวที่มีความเย็นจัดเมื่อฉีดออกมาจะกลายเป็นไอระเหยซึ่งใช้สำหรับกำจัดความร้อนและขัดขวางการเผาไหม้ของออกซิเจนและไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ใช้สำหรับดับเพลิงไหม้ประเภท A, B, C เหมาะกับการใช้งานในห้องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์, โรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เรือหรือเครื่องบิน, สำนักงาน, โรงพยาบาล ถังดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide (CO2) Extinguishers) ถังดับเพลิงสีแดง เป็นถังดับเพลิงที่ไม่มีมาตรแรงดันแต่ใช้การชั่งน้ำหนักเพื่อบอกปริมาณแทน ภายในถังดับเพลิงจะบรรจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อฉีดออกมาแล้วจะเป็นไอเย็นจัดคล้ายน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) และปกคลุมทั่วบริเวณที่เกิดเพลิงลุกไหม้ ช่วยลดความร้อนและดับไฟได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งไม่ทิ้งคราบสกปรก ใช้สำหรับดับเพลิงประเภท B และ C เหมาะสำหรับดับเพลิงไหม้ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น โรงงานที่มีไลน์การผลิตขนาดใหญ่, โรงอาหาร, ห้องเก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถังดับเพลิงชนิดน้ำยาโฟม (Foam Extinguishers) ถังดับเพลิงชนิดนี้จะเป็นถังสแตนเลส ภายในบรรจุโฟมเมื่อฉีดจะเป็นฟองโฟมที่กระจายปกคลุมเชื้อเพลิงที่ลุกไหม้เพื่อให้ขาดออกซิเจนและลดความร้อน และยังใช้ปกคลุมพื้นผิวของเหลว เช่น น้ำมันได้ดี ใช้สำหรับเพลิงไหม้ประเภท A และ B ไม่ควรใช้กับเพลิงไหม้ประเภท C เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำซึ่งจะเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมประเภทเชื้อเพลิง, สารระเหย หรือปั๊มน้ำมัน ถังดับเพลิงชนิด (Wet Chemical) เป็นถังดับเพลิงที่มีสีขาวเป็นสัญลักษณ์ ภายในบรรจุ Potassium Acetate เมื่อฉีดออกมาจะเป็นละอองฝอยเพื่อปกคลุมเพลิงไหม้ ใช้สำหรับเพลิงไหม้ประเภท K ที่เกิดจากน้ำมันในครัว, ไขมันสัตว์ หรือของเหลวที่ใช้ในการประกอบอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดในร้านอาหาร, โรงอาหาร, ห้องครัวในสถานที่ต่าง ๆ ถังดับเพลิงชนิดน้ำ (Water Extinguishers) เป็นถังดับเพลิงที่มีสีฟ้าหรือสีน้ำเงินภายในบรรจุสารเคมีดับเพลิงผสมน้ำและก๊าซไนโตเจนเพื่อเป็นแรงดัน ช่วยให้ดึงความร้อนออกจากเชื้อเพลิงเพื่อให้อุณหภูมิลดลง และป้องกันการปะทุของไฟซ้ำ ใช้สำหรับเพลิงไหม้ประเภท A, B, C และ K เหมาะสำหรับติดตั้งไว้ที่อาคารสำนักงาน, บ้านพัก, โรงแรม,โรงงานอุตสาหกรรม, และสถานที่ทั่วไป การติดตั้งถังดับเพลิงภายในอาคาร การติดตั้งถังดับเพลิงภายในอาคารเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการทุกท่านต้องปฏิบัติ เพราะเป็นกฎหมายที่ออกตามพ.ร.บ ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ที่อยู่ภายในอาคาร ซึ่งมีหลักการปฏิบัติดังต่อไปนี้ จะต้องเลือกใช้ถังดับเพลิงให้เหมาะสมกับขนาดของพื้นที่และประเภทของเพลิงไหม้เพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมและดับไฟไหม้ หากเป็นตึกแถว บ้านแฝดที่มีอาคารความสูงไม่เกิน 2 ชั้น ต้องติดตั้งถังดับเพลิงคูหาละ 1 ถัง หากสูงเกิน 2 ชั้นขึ้นไปต้องติดตั้งอย่างน้อยชั้นละ 1 ถัง แต่หากเป็นอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ เช่น หอประชุม, อาคารสำนักงาน, โรงแรม, สถานพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ที่มีขนาดตั้งแต่ 4 หน่วยขึ้นไปต้องติดตั้งถังดับเพลิง 1 ถังต่อพื้นที่อาคารไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร ทุกระยะไม่เกิน 45 เมตร ระยะการเข้าถึงถังดับเพลิงต้องไม่เกิน 23 เมตร และไม่น้อยกว่าชั้นละ 1 ถัง การติดตั้งถังดับเพลิงจะต้องติดตั้งอยู่ในบริเวณที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเพื่อสามารถหยิบนำไปใช้ในการดับเพลิงได้สะดวก โดยถังดับเพลิงจะต้องติดตั้งไม่สูงกว่า 1.40 เมตร จากระดับพื้นจนถึงหัวของเครื่องดับเพลิง ถังดับเพลิงจะมีขนาดบรรจุประมาณ 4.5 กิโลกรัม และไม่ควรจะเกิน 18.14 กิโลกรัม เพราะจะหนักเกินไปในการเคลื่อนย้าย ควรมีการตรวจสอบมาตรแรงดันของถังดับเพลิงและตรวจสอบน้ำหนักสุทธิของถังดับเพลิงในกรณีเครื่องดับเพลิงเป็นชนิดที่ไม่มีมาตรวัดแรงดัน เช่น เครื่องดับเพลิงชนิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา ความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญสำหรับผู้ที่อยู่ภายในอาคาร ทุกอาคารจึงต้องติดตั้งถังดับเพลิงและมีการซ้อมหนีไฟไหม้ประจำปีเพื่อให้สามารถป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ได้ การเลือกใช้ถังดับเพลิงจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่นอกจากหลักเกณฑ์ดังที่กล่าวมาแล้วมาตรฐานของถังดับเพลิงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบ ถังดับเพลิงควรได้รับมาตรฐาน มอก. 332-2537 เพื่อเป็นการการันตีถึงประสิทธิภาพที่จะได้รับ Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายถังดับเพลิง เช่น ถังดับเพลิงเคมีแห้งชนิดเติมได้, ถังดับเพลิงแบบละอองน้ำแรงดันต่ำ, ถังดับเพลิงแบบน้ำยาเหลวระเหย ฮาโลตรอน วัน, ถังดับเพลิงแบบน้ำยาเหลวระเหย ฮาโลตรอน, ถังดับเพลิงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ และอุปกรณ์ดับเพลิงที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานมอก.332-2537 ภายใต้แบรนด์ชั้นนำในราคาที่เหมาะสม พร้อมยินดีให้คำแนะนำและบริการหลังการขายจากทีมงานที่เชี่ยวชาญ สนใจถังดับเพลิง มาตรฐานความปลอดภัยในอาคาร ติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
Jenstore Shop ร้านค้าช้อปปิ้งออนไลน์อุปกรณ์อุตสาหกรรมแบบครบวงจร

Jenstore Shop ร้านค้าช้อปปิ้งออนไลน์อุปกรณ์อุตสาหกรรมแบบครบวงจร ซื้อ รถเข็น, ล้ออุตสาหกรรม, ลังพลาสติก ได้ง่าย ๆ เพียงคลิกที่ Jestore Shop ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนคุณก็สามารถช้อปปิ้งได้แบบจุใจตลอด 24 ชั่วโมงกับ Jenstore Shop ร้านค้าออนไลน์ที่เป็นผู้นำในการจำหน่ายสินค้าสำหรับอุปกรณ์จัดเก็บและเครื่องมือในการยก-ย้ายแบบครบวงจร เช่น รถเข็นคุณภาพที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้า, กล่องพลาสติกที่ใช้ในการจัดเก็บอุปกรณ์หรือเครื่องมือ, ลังพลาสติกที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าตั้งแต่ผัก, ผลไม้ไปจนถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ, ชั้นวางสินค้าที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บและง่ายต่อการใช้งาน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในสำนักงานอย่าง โต๊ะทำงาน, เก้าอี้สำนักงานที่ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น Jenstore Shop จึงอยากขอแนะนำสินค้าที่ท่านสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจให้เหนือระดับยิ่งขึ้น พาทัวร์สินค้าคุณภาพจาก Jestore Shop ที่พร้อมสำหรับการสั่งซื้อเพียงคลิกเท่านั้น รถเข็น เป็นเครื่องทุ่นแรงในการเคลื่อนย้ายสินค้าหรืออุปกรณ์ ให้มีความรวดเร็วและทันท่วงทีในการดำเนินงาน นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายทั้งสินค้าและพนักงาน ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายที่อาจจะทำให้สูญเสียเวลาและงบประมาณ โดยรถเข็นที่มีจำหน่ายใน Jenstore Shop มีหลายประเภทเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานที่มีความหลากหลายมีตัวอย่าง ดังนี้      1.1 รถเข็น 2 ล้อ ใช้ในการขนย้ายสินค้าที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า, ทรงสูงหรือมีขนาดใหญ่สามารถรองรับสินค้าที่มีน้ำหนักมากได้ โครงสร้างผลิตจากอลูมิเนียมบางรุ่นมีฟังก์ชันพิเศษแผ่นพื้นสามารถขยายพื้นที่ได้หรือแผ่นหลังมีความโค้งเพื่อรองรับสินค้าที่มีความโค้งหรือเป็นทรงกระบอก       1.2 รถเข็น 4 ล้อ เป็นรถเข็นอเนกประสงค์ที่สามารถขนย้ายสินค้า อุปกรณ์ หรือเครื่องมือต่าง ๆ เป็นประเภทของรถเข็นที่นิยมนำมาใช้งาน เนื่องจากรถเข็น 4 ล้อสามารถรองรับการใช้งานที่มีความหลากหลายได้ โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีทั้งสารเคมี ความชื้น ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้าย จึงทำให้รถเข็น 4 ล้อมีการแยกประเภทออกมาอีก 3 ประเภทคือ          1.2.1 รถเข็นพื้นเหล็ก (รถเข็นเหล็ก) เหมาะสำหรับขนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ ได้ดี เพราะมีความแข็งแรงทนทาน           1.2.2 รถเข็นพื้นสแตนเลส (รถเข็นสแตนเลส) เหมาะสำหรับงานบริการที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือความเปียกชื้น เพราะวัสดุไม่เป็นสนิม           1.2.3 รถเข็นพื้นพลาสติก (รถเข็นพลาสติก) เหมาะสำหรับงานที่สัมผัสความชื้นและทนต่อสารเคมี กรดด่าง 1.3 รถเข็นบริการ เป็นประเภทของรถเข็นที่ใช้ในอุตสาหกรรมบริการ เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, โรงพยาบาล, ร้านอาหาร ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสำหรับพนักงานและลูกค้า โครงสร้างมักผลิตจากสแตนเลสซึ่งไม่ก่อให้เกิดสนิม มีความแข็งแรง ทนทาน มีการออกแบบที่หลากลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานเฉพาะด้าน ซึ่งตัวอย่างของรถเข็นบริการ เช่น รถเข็นช้อปปิ้ง, รถเข็นสัมภาระ, รถเข็นเก็บจาน, รถเข็นผ้า เป็นต้น ล้ออุตสาหกรรม ใช้สำหรับติดตั้งใต้อุปกรณ์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการเคลื่อนย้ายสินค้า เช่น รถเข็น, พาเลทสินค้า, ชั้นวางสินค้า ซึ่งล้ออุตสาหกรรมจะคอยรับน้ำหนักและควบคุมทิศทางในการเคลื่อนที่ ช่วยสร้างความรวดเร็วให้กับการเคลื่อนย้าย และทนทานทั้งสารเคมี กรด น้ำมัน ความร้อน และความเย็น เนื่องจากล้ออุตสาหกรรมต้องสัมผัสพื้นที่มีความแตกตางกันตลอดเวลา ล้ออุตสาหกรรมจึงต้องมีหลายประเภทเพื่อรองรับการใช้งานที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ซึ่งตัวอย่างของล้ออุตสาหกรรมที่ Jenstore Shop มีจำหน่ายมีดังนี้       2.1 ล้อพลาสติก PP ทนทานต่อสารเคมี คล่องตัวในการเข็น มีความแข็งแรง รับนํ้าหนักได้ปานกลาง       2.2 ล้อยางสังเคราะห์ เหมาะสำหรับใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์ รถเข็นสำนักงาน ฯลฯ ทนทานต่อแรงกระแทก เข็นได้นุ่มนวล เสียงเงียบ ไม่เกิดรอยบนพื้น       2.3 ล้อยูรีเทน ทนทานต่อแรงกระแทก การสึกหรอและสารเคมี ไม่เกิดรอยบนพื้น เสียงเงียบ และคล่องตัวในการเข็น สามารถใช้กับพื้นขรุขระหรือแหลมคมได้ นิยมใช้ติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุ       2.4 ล้อยูรีเทนไฮเทค PUo ทนทานต่อแรงกระแทก การสึกหรอ สารเคมี และนํ้ามันไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้น เสียงเงียบและคล่องตัวในการเข็น รับนํ้าหนักได้ปานกลาง นิยมใช้ในรถเข็นงานอุตสาหกรรม       2.5 ล้อไนลอนล่อน ทนทานต่อการสึกหรอและสารเคมี คล่องตัวในการเข็น แข็งแรง รองรับนํ้าหนักได้ปานกลาง ข้อระวังคือ ไม่ควรใช้กับพื้นไม้ หรือพื้นที่หินอ่อน เพราะความแข็งแรงของไนล่อนอาจทำให้พื้นเป็นรอยได้ นิยมใช้ในอุตสาหกรรมยาหรือในห้องเย็น       2.6 ล้อยางอีลาสติก ER ทนทานต่อแรงกระแทก ไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้น เสียงเงียบเวลาเข็นเนื้อยางนุ่ม และกันการสะเทือนได้ดี นิยมใช้ในงานขนย้ายเซรามิก, เครื่องจักรที่มีความบอบบางและน้ำหนักไม่มาก หรือผัก ผลไม้ที่เกิดการช้ำได้ง่าย, รถเข็นในโรงพยาบาล กล่องพลาสติก อุปกรณ์ในการจัดเก็บเครื่องมือและสินค้า จุดประสงค์เพื่อให้ขนย้ายได้ง่าย จัดเก็บสินค้าได้เป็นระเบียบ ช่วยแบ่งสินค้าให้เป็นหมวดหมู่ สามารถหยิบใช้ได้สะดวก ป้องกันการกัดแทะของแมลงต่าง ๆ ป้องกันฝุ่น และยังช่วยรักษาคุณภาพของเครื่องมือและสินค้าไม่ให้เสื่อมคุณภาพ กล่องพลาสติกของ Jenstore ผลิตจากพลาสติกเกรด A ไม่มีกลิ่นฉุน มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถวางซ้อนกันได้ช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ มีฝาปิด มีตัวล็อค มีทั้งแบบทึบและแบบใส บางรุ่นมีล้อเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนที่ สามารถวางซ้อนกันได้และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ลังพลาสติก มีจุดประสงค์ในการใช้งานเหมือนกับกล่องพลาสติก แต่ลังพลาสติกมีหลากหลายรูปแบบในการใช้งานมากกว่าเพื่อให้รองรับสินค้าที่มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ลังพลาสติกพับได้ที่สามารถพับเก็บได้ทำให้ประหยัดพื้นที่จัดเก็บได้ถึง 75% บางรุ่นสามารถเปิดด้านข้างของลังพลาสติกเพื่อหยิบสินค้าออกมาใช้งานได้ถึงแม้จะวางลังพลาสติกซ้อนกัน นอกจากนี้ยังมีลังพลาสติกสำหรับใส่ผัก ผลไม้ที่มีรูอยู่รอบ ๆ ลังพลาสติก เพื่อให้ระบายอากาศช่วยรักษาความสดใหม่ของผักและผลไม้สามารถวางซ้อนกันได้ โดยที่ไม่ทำให้ผักหรือผลไม้ช้ำ หรือลังพลาสติกอเนกประสงค์ที่ฝาปิด-เปิดเป็นแบบซิกแซกจึงง่ายต่อการใช้งานซึ่งใช้ในการเก็บสินค้าได้หลายประเภท ลังพลาสติกของ Jenstore ผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE คุณภาพสูงหรือพลาสติกเกรด A ไม่มีกลิ่นฉุน มีโครงสร้างแข็งแรง รับน้ำหนักได้มาก มีทั้งแบบที่มีฝาปิดและไม่มีฝาปิด มีหลายสีให้เลือกใช้งาน ชั้นวางสินค้า เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการใช้จัดเก็บสินค้าและอุปกรณ์ โดยช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บในแนวสูงให้จัดเก็บได้มากยิ่งขึ้น สามารถแยกหมวดหมู่สินค้าได้ง่าย ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน และลดความผิดพลาดที่เกิดจากการหยิบสินค้าผิดได้ โดยเฉพาะในคลังสินค้า, โกดังสินค้า, สำนักงาน หรือร้านค้าที่ใช้ทั้งจัดเก็บสินค้าและใช้โชว์สินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ชั้นวางสินค้าจาก Jestore Shop ช่วยตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย มีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี และมีมาตรฐานตามชั้นวางสินค้าสำหรับอุตสาหกรรม เนื่องจากโครงสร้างผลิตจากเหล็กคุณภาพสูงและพ่นสีเคลือบเพื่อเพิ่มความทนทานให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น มีดีไซน์สวยงาม สามารถปรับระดับความสูง-ต่ำของชั้นวางสินค้าได้ตามที่ต้องการ มีคานยึดเพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงและเพิ่มความสามารถในการรองรับน้ำหนัก ส่วนด้านล่างมีพลาสติกรองขาเพื่อช่วยในการกันลื่นและปกป้องพื้นผิวไม่ให้เกิดรอย ชิ้นส่วนประกอบได้ง่ายจึงขนย้ายสะดวก ชั้นวางสินค้าที่มีจำหน่ายใน Jestore Shop มีทั้งแบบชั้นวางของเหล็ก, ชั้นวางของตะแกรงลวด, ชั้นวางเสาเรียบ และชั้นวางพัสดุทั่วไป โต๊ะทำงาน เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ต้องมีเพื่อสร้างความเป็นสัดส่วนในการทำงาน สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจัดเก็บสิ่งของของพนักงาน และส่งเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทหรือองค์กร โต๊ะทำงานงานของ Jestore Shop ผลิตทั้งจากไม้และเหล็ก ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ออกแบบดีไซต์สวยงาม พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เช่น มีลิ้นชักเพื่อใช้เก็บอุปกรณ์ในการทำงาน ระบบล็อคลิ้นชักทั้งแบบอัตโนมัติและแบบแมนนวลเพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน มีช่องร้อยสายไฟและรางสายไฟเพื่อให้สะดวกและสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการใช้งาน บางรุ่นขาปรับระดับความสูงได้ โต๊ะทำงานจาก Jenstore Shop เป็นแบรด์ระดับพรีเมี่ยมผลิตจากวัสดุที่ได้มาตรฐานพร้อมการรับประกันคุณภาพของแท้ 100% เก้าอี้สำนักงาน เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ช่วยสร้างความสะดวกสบายในการทำงาน เพราะพนักงานออฟฟิศต้องนั่งทำงานอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันบางบริษัทอาจนั่งทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพเป็นอย่างมากโดยเฉพาะโรคออฟฟิศซินโดรม เก้าอี้สำนักงานจึงต้องออกแบบมาเพื่อรองรับการนั่งที่ยาวนานที่ไม่สร้างความเมี่อยล้าและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เก้าอี้สำนักจาก Jestore Shop สามารถตอบโจทย์สำหรับการนั่งนาน ๆ ได้เป็นอย่างดี มีการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ที่ใช้งานที่มีความสูงและขนาดร่างกายที่แตกต่างกัน สามารถปรับระดับได้ทั้งความสูงของเก้าอี้, ที่รองคอ, ที่วางแขน หรือปรับเอนและล็อคตำแหน่งการเอนได้ บางรุ่นเสริม Lumbar Protection Support ช่วยรองรับแผ่นหลังที่สามารถปรับระดับและปรับความลึกได้ โครงสร้างผลิตจากอลูมิเนียมที่แข็งแรง ทนทาน วัสดุที่ใช้ห่อหุ้มเก้าอี้มีทั้งแบบเป็นหนัง ตาข่าย และผ้าเพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้ตามที่ต้องการ นอกจากนั้น Jenstore Shop ยังผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิที่ใช้สำหรับงานอุตสาหกรรมและงานทางการแพทย์, รถลากพาเลท, อุปกรณ์เซฟตี้, เครื่องมือช่าง, อุปกรณ์แพ็คสินค้า, อุปกรณ์สำหรับสำนักงาน ฯลฯ ซึ่ง Jenstore Shop จำหน่ายสินค้าที่ครอบคลุมทุกประเภท เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านสามารถเลือกซื้อได้ครบจบที่ Jenstroe Shop ในที่เดียว หากลูกค้ามีข้อสงสัยในรายละเอียดสินค้าสามารถทักแชทได้ที่หน้าเว็บไซต์หรือติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางด้านล่าง เพื่อให้การสั่งซื้อของคุณเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด สนใจสินค้าติดต่อเรา Jenstore Shop ร้านค้าช้อปปิ้งออนไลน์อุปกรณ์อุตสาหกรรมแบบครบวงจร Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เพิ่มยอดขายให้ปัง ด้วยเทคนิคการจัดเรียงสินค้า

เพิ่มยอดขายให้ปัง ด้วยเทคนิคการจัดเรียงสินค้า จัดสินค้าบนชั้นวางสินค้าอย่างไรให้มีแต่ปัง ร้านค้าปลีกอย่าง ห้างสรรพสินค้า, ร้านมินิมาร์ท, ร้านสะดวก เป็นร้านค้าที่มีการขายสินค้าจำนวนมากและหลายประเภท สิ่งสำคัญของร้านค้าประเภทนี้คือการจัดเรียงสินค้าเพราะเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญในการสร้างความสะดวกในการซื้อของลูกค้า และยังสามารถกระตุ้นลูกค้าให้มีความต้องการในการซื้อสินค้าได้ การจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางสินค้าที่ดีจะทำให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินกับการเลือกซื้อสินค้าได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ชั้นวางสินค้าก็ต้องสามารถนำเสนอสินค้าได้ ควรมีดีไซต์ที่สวยงาม มีสีสันและรูปแบบที่เหมาะสมทั้งการโชว์และการใช้งาน เพื่อสร้างความโดดเด่นของสินค้าและเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น 8 เทคนิคการเรียงสินค้าบนชั้นวางสินค้า ให้น่าซื้อและเพิ่มยอดขายให้ปัง การแบ่งหมวดหมู่สินค้า สินค้าที่ขายในร้านค้าปลีกมีจำนวนที่มากและมีหลากหลายประเภท ร้านค้าจึงควรต้องมีการแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าให้ชัดเจนเพื่อให้ลูกค้าสะดวกในการเลือกซื้อสินค้า โดยสามารถใช้ฝั่งของชั้นวางสินค้าหรือล็อคของชั้นวางสินค้าเป็นเครื่องหมายของการแบ่งประเภทของสินค้าได้ โดยสามารถใช้แบ่งประเภทของสินค้าที่ไว้สำหรับใช้งานและประเภทสินค้าที่เป็นอาหาร หรือจะแบ่งประเภทสินค้าให้แยกย่อยออกมาอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ล้างจาน, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด, อาหารแห้ง, เครื่องปรุงอาหาร และอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ก็สามารถทำได้ โดยการแบ่งประเภทของสินค้าขึ้นอยู่กับจำนวนและประเภทของสินค้าที่นำมาจำหน่ายที่ร้านค้าว่ามีจำนวนมาก-น้อยแค่ไหน หากสินค้าประเภทนั้นมีจำนวนน้อยก็สามารถวางสินค้าประเภทนั้นร่วมกับสินค้าประเภทอื่นที่มีความใกล้เคียงกันได้ การเลือกชั้นวางสินค้าให้เหมาะกับสินค้า สินค้าที่ขายในร้านค้านอกจากจะมีหลายประเภทแล้วยังมีหลายขนาด หลายรูปทรง ซึ่งการเลือกชั้นวางสินค้าให้เหมาะสำหรับวางสินค้าจะช่วยให้สินค้ามีความเป็นระเบียบ หยิบใช้งานได้ง่าย และยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าได้อีกด้วย เช่น ชั้นวางสินค้าที่แบ่งเป็นชั้น ๆ โดยชั้นวางมีทั้งแบบทึบและแบบโปร่ง ใช้สำหรับวางสินค้าทั่วไปที่สามารถตั้งได้วางได้ ชั้นแขวนฮุก ใช้สำหรับวางสินค้าประเภทแขวน ชั้นวางสินค้าแบบเป็นตะกร้า ใช้สำหรับวางสินค้าขนาดเล็กหรือทรงตัวไม่ได้ หรือหากเป็นร้านค้าปลีกอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ก็สามารถนำแผงแขวนเครื่องมือช่างมาใช้แขวนอุปกรณ์และเครื่องมือบางประเภทได้ การวางสินค้าในระดับสายตา ช่วยทำให้เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากยิ่งขึ้น แต่เราต้องเลือกระดับสายตาให้สัมพันธ์กับความสูงของกลุ่มเป้าหมายของสินค้า โดยหากเป็นสินค้าเด็กซึ่งลูกค้าจะเป็นเด็กมีอายุที่น้อยและความสูงไม่มาก ควรวางสินค้าในชั้นวางสินค้าที่ต่ำลงมากว่าระดับสายตาของผู้ใหญ่เพื่อให้อยู่สินค้าในระดับสายตาของเด็กแทนทำให้สินค้าดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น การจัดสินค้าขายดีบนชั้นวางสินค้า ประเภทของสินค้าขายดีโดยส่วนใหญ่ร้านค้าจะจัดเรียงสินค้าให้อยู่ในชั้นวางสินค้าที่อยู่ในระดับสายตาเพื่อให้หยิบซื้อได้ทันที แต่ถ้าประเภทของสินค้าขายดีมีหลายยี่ห้อควรจัดสินค้ายี่ห้อที่ขายดีมากที่สุดอยู่ในชั้นวางสินค้าที่อยู่ในระดับสายตาและค่อยวางยี่ห้อสินค้าที่ขายดีลดหลั่นกันลงมาในแนวดิ่งหรือชั้นวางสินค้าถัดไป จะช่วยให้ลูกค้ายังจดจ่อกับประเภทสินค้าที่ยังต้องการซื้อซึ่งอยู่ในรัศมีในการมองตามธรรมชาติทำให้ลูกค้ายังให้ความสนใจสินค้าชิ้นนั้นและอาจตัดสินใจซื้อในที่สุด สร้างความสมดุลบนชั้นวางสินค้า น้ำหนักและขนาดของสินค้าก็มีส่วนสำคัญสำหรับการจัดเรียงสินค้าบนชั้นวางสินค้า ตามหลักการการจัดเรียงสินค้าควรวางสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขนาดใหญ่ไว้ชั้นล่างของชั้นวางสินค้าเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการตกหล่นของสินค้าหรือการพังทลายของชั้นวางสินค้า เช่น การจัดเรียงถุงข้าวสารที่มีน้ำหนักน้อย ๆ และมีขนาดเล็กจะอยู่ด้านบนและถุงข้าวสารที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่จะอยู่ด้านล่าง แต่ก็สามารถปรับรูปแบบการวางได้หากชั้นวางสินค้าออกแบบมาเพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักที่มาก ๆ ได้ เรียงสินค้าที่สัมพันธ์กันให้อยู่ใกล้กัน ถึงแม้จะมีการจัดเรียงสินค้าตามประเภทของสินค้าแล้วแต่ผู้ประกอบยังสามารถจัดเรียงสินค้าให้ดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น ด้วยการจัดสินค้าที่มีความสัมพันธ์กันหรือต้องใช้ร่วมกันให้อยู่ใกล้กันบนชั้นวางสินค้าหรือจัดเป็นเซตเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อพร้อมกัน ซึ่งวิธีการจัดเรียงสินค้าแบบนี้เรียกว่า Cross selling ซึ่งส่วนใหญ่จะนำสินค้าคนละประเภทมาจัดวางใกล้กันหรือจัดเป็นเซต ทำให้หยิบซื้อได้ง่ายและขายสินค้าได้หลายชิ้นในการหยิบเพียงครั้งเดียว เช่น จัดเซตชุดอาบน้ำ, จัดเซตชุดสังฆทาน, จัดเซตชุดเครื่องครัว, จัดเซตชุดทำเบเกอรี่ เป็นต้น จัดสินค้าให้เต็มชั้นวางสินค้าอยู่เสมอ บนชั้นวางสินค้าต้องมีสินค้าเต็มอยู่เสมอไม่ควรให้สินค้าดูน้อยจนเกินไป เพราะส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้าเมื่อลูกค้าเข้ามาในร้านค้าสินค้าไม่สามารถดึงดูดใจลูกค้าให้สนใจได้ หรืออาจจะตั้งแต่ที่ลูกค้ามองเห็นร้านจากภายนอกลูกค้าอาจจะตัดสินใจไม่เข้าร้านค้าเลยก็ได้ ดังนั้นจึงควรหมั่นตรวจสอบจำนวนสินค้าและควรเติมสินค้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ร้านค้ามีความดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น และการเติมสินค้าควรนำสินค้าเก่าที่มีอยู่ขยับมาด้านหน้าหลังจากนั้นค่อยเติมสินค้าใหม่ลงไปจะช่วยให้สินค้าไม่กลายเป็นสินค้าเก่าเก็บซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ได้ต่อร้านค้า ป้ายราคาและป้ายโฆษณาความสำคัญในการจัดเรียงสินค้า ป้ายราคาที่ติดอยู่บนชั้นวางสินค้าเป็นกลยุทธ์ที่ดึงให้ลูกค้าสามารถจดจ่อกับสินค้าได้ โดยทั่วไปลูกค้าจะให้ความสนใจกับสินค้าที่มีราคาถูก ดังนั้นเมื่อมีสินค้าประเภทเดียวกันอยู่บนชั้นวางสินค้าแต่คนละยี่ห้อย่อมต้องเกิดการเปรียบเทียบในเรื่องของราคาซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นหากมีโปรโมชั่นลดราคาหรือแถมฟรีมักจะมีการติดป้ายโฆษณาบนชั้นวางสินค้าในตำแหน่งของสินค้านั้น ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าในทันที เป็นวิธีการเพิ่มยอดขายที่ร้านค้ามักนำไปใช้งาน การจัดเรียงสินค้าเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้ร้านค้าเพิ่มยอดขายได้ การจัดเรียงสินค้าก็เหมือนการใช้จิตวิทยาเข้ามาช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้าทำให้ตัดสินใจซื้อได้ทันที โดยต้องมีความสะดวกและง่ายต่อการเข้าถึงสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่ขายดีที่มักจะสร้างการดึงดูดลูกค้าได้มาก แต่นอกเหนือจากการจัดเรียงสินค้าแล้วอุปกรณ์อย่างชั้นวางสินค้าก็มีความสำคัญเพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องแบกรับน้ำหนักของสินค้าจึงต้องมีมาตรฐานและความทนทานต่อการใช้งาน และยังต้องมีการอออกแบบชั้นวางสินค้าให้มีฟังก์ชันการใช้งานหลายรูปแบบเพื่อให้สามารถวางสินค้าที่มีความแตกต่างกันได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องสามารถแสดงสินค้าให้มีความโดดเด่นและทำให้สินค้าน่าซื้อ เราจึงมักเห็นชั้นวางสินค้าในปัจจุบันมีรูปแบบและสีสันที่หลากหลาย มีดีไซต์ที่สวยงาม ซึ่งชั้นวางสินค้ายังช่วยสร้างบรรยากาศให้ร้านค้าน่าเดินจับจ่ายใช้สอยซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่หลายร้านค้ามักนำไปใช้ในการตกแต่งร้านค้า Jestore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายชั้นวางสินค้า, ชั้นวางของเหล็ก, ชั้นเก็บของ, ชั้นวางของอเนกประสงค์ผลิตจากเหล็กขึ้นรูปคุณภาพสูง พ่นสีเคลือบจึงทำให้ใช้งานได้ยาวนาน แข็งแรงและทนทาน ดีไซน์สวยงาม สามารถปรับระดับความสูง-ต่ำได้ตามความต้องการ รองรับน้ำหนักได้มาก มีคานยึดเพื่อช่วยเสริมความแข็งแรง และขาของชั้นวางจะมีพลาสติกรองขาเพื่อช่วยในการกันลื่นและปกป้องพื้นผิวไม่ให้เกิดรอยได้ง่าย ชิ้นส่วนประกอบง่ายและสะดวกในการขนย้าย พร้อมยินดีให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและมีบริการหลังการขายจากมืออาชีพ สนใจชั้นวางสินค้าคุณภาพสูงมีความแข็งแรงและทนทาน ติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected] บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
กำจัดขยะในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

กำจัดขยะในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ถังขยะแยกประเภท 4 สี การจัดการขยะอย่างยั่งยืน ขยะ กลายเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ทางมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในทุกประเทศซึ่งมีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม หลายประเทศได้พยายามคิดค้นหาวิธีกำจัดหรือวิธีนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดเพื่อที่จะลดจำนวนของขยะ โดยเฉพาะในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีขยะเป็นจำนวนมากและหลายประเภทที่เกิดจากกระบวนการผลิตสินค้า วิธีพื้นฐานที่โรงงานอุตสาหกรรมจัดการกับขยะคือ การคัดแยกขยะ การคัดแยกขยะคือการจัดเก็บขยะลงในถังขยะแยกประเภท ซึ่งขยะที่เราต้องการจะจัดเก็บอยู่ในหมวดของขยะสีไหนตามที่ถังขยะระบุไว้ก็ทิ้งลงในถังขยะสีดังกล่าวได้ ตามหลักการของการคัดแยกขยะไม่ควรทิ้งขยะทุกประเภทรวมกันในถังขยะใบเดียว การคัดแยกขยะมีประโยชน์อย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม สีของถังขยะแยกประเภทที่ใช้ในการคัดแยกขยะจะมีด้วยกัน 4 สี คือ สีเหลือง สีเขียว สีแดง และสีน้ำเงิน ซึ่งแต่ละสีก็ทำหน้าที่ในการจัดเก็บขยะที่แตกต่างกัน   ความหมายของสีในถังขยะแยกประเภท 4 สี ช่วยคัดแยกขยะให้นำกลับมาใช้ง่ายขึ้น สีเขียว หรือถังขยะเปียก หมายถึง ถังขยะที่ใช้ใส่ขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็วเป็นขยะที่พบได้มากที่สุดในกองขยะ เช่น เศษอาหาร เปลือกผลไม้ เศษผัก เนื้อสัตว์ เศษใบไม้แห้ง แต่ไม่รวมซากสัตว์หรือซากเศษพืชที่ใช้ในการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยส่วนใหญ่ขยะประเภทนี้จะนำกลับมาทำปุ๋ย เช่นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ สีเหลือง หรือถังขยะรีไซเคิล หมายถึง ขยะที่เราทิ้งไปแล้วสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่นแก้ว, กระดาษ, ขวดพลาสติก, ถุงพลาสติก, ขวดแก้ว, กระป๋อง, กล่องกระดาษ, กล่องเครื่องดื่ม UHT, เศษโลหะ, อลูมิเนียม ซึ่งสามารถนำมาผลิตใหม่เป็นอุปกรณ์ต่างๆ ได้ เช่น ผลิตขาเทียม หลอดไฟ และจีวรพระสงฆ์ เป็นต้น สีแดง หรือถังขยะอันตราย หมายถึง ขยะที่มีองค์ประกอบที่อันตราย หรือมีการปนเปื้อนของวัตถุอันตรายหรือวัตถุมีพิษ เช่น สารปรอท สารตะกั่ว สารกรรมมันตรังสี สารเคมีต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรค, การระคายเคือง หรือวัตถุที่มีการติดเชื้อจากการรักษาพยาบาลหรือจากการใช้งานเกี่ยวกับโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายทั้งพืช คน และสัตว์ ตัวอย่างของขยะอันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย กระป๋องสเปรย์ หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอรี่ หน้ากากอนามัย สำสี ผ้าพันแผล เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่การคัดแยกขยะทำให้การจัดการขยะอันตรายสะดวกและง่ายมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมเช่น ในดินและแหล่งน้ำ สีน้ำเงิน หรือถังขยะทั่วไป หมายถึง ขยะที่มีการย่อยสลายได้ยาก ไม่มีการปนเปื้อนและไม่คุ้มค่าถ้าจะนำกลับมาใช้ใหม่ อาทิ ห่อพลาสติกในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เช่น ซองบะหมีกึ่งสำเร็จรูป, ห่อลูกอม, ห่อขนม, โฟมใส่อาหาร, ฟอยล์ใส่อาหาร ขยะประเภทนี้จะนำไปกำจัดตามกระบวนการที่เหมาะสม เช่น การฝังกลบ การเผาด้วยเตาเผาขยะ หรือบางวัสดุสามารถนำเทคโนโลยีการผลิตมาผลิตใหม่เพื่อให้นำกลับมาใช้เป็นวัสดุใหม่ได้   ตำแหน่งในการวางถังขยะที่ดี จะช่วยให้การคัดแยกขยะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรตั้งถังขยะอยู่ในจุดที่สังเกตุได้ง่าย มีการสัญจรผ่านไปมาเพื่อให้สะดวกในการทิ้งขยะ เช่น หน้าห้องน้ำ บริเวณใกล้ลิฟท์ สำหรับภายในอาคารไม่ควรตั้งถังขยะกีดขวางระบบความปลอดภัยของอัคคีภัย เช่น ตั้งหน้าจุดติดตั้งถังดับเพลิง ถังขยะเปียกควรจัดตั้งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท มีหลังคาป้องกันฝน เพื่อป้องการกันเพาะพันธุ์ของแมลงวันหรือเชื้อโรค และควรหมั่นทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวให้สะอาดอยู่เสมอ ถังขยะอันตรายควรจัดตั้งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท และควรตั้งในอาคารและอยู่ห่างจากความร้อน หรือวัตถุไวไฟ ถังขยะควรตั้งอยู่ในบริเวณที่สะดวกในการขนย้าย หรือหากอยู่ในอาคารควรสะดวกในการจัดเก็บขยะเพื่อความรวดเร็วในการรวบรวมขยะ   ประโยชน์ในการคัดแยกขยะด้วยถังขยะแยกประเภท 4 สี ช่วยสร้างให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น ช่วยลดปริมาณขยะ เพราะมีถังขยะแยกประเภทจึงสามารถแยกขยะที่จะไปรีไซเคิลเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ได้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งขยะที่นำกลับมาผลิตใหม่ก็จะถูกวนกลับมาใช้งานให้เกิดประโยชน์จึงทำให้ปริมาณขยะน้อยลง และยังช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิตได้อีกด้วย ลดการสิ้นเปลืองพลังงานและทรัพยากร เพราะการมีถังขยะแยกประเภททำให้การคัดแยกขยะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นส่งผลให้จำนวนขยะที่ต้องถูกทำลายมีจำนวนน้อยลงจึงทำให้พลังงานที่ต้องใช้ในการทำลายขยะน้อยลงไปด้วย เช่นการเผาขยะด้วยเตาเผาขยะ และยังลดการนำทรัพยากรมาใช้เพื่อผลิตอุปกรณ์ต่างๆ โดยได้นำขยะรีไซเคิลมาใช้ในการผลิตแทน ประหยัดงบประมาณ ในการกำจัดขยะ-จำนวนมากที่มีอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรมต้องใช้ทั้งอุปกรณ์ แรงงานและพลังงานในการจัดเก็บหรือทำลาย เช่น ลดปริมาณถังขยะที่ใช้ในการจัดเก็บและฝังกลบขยะ รวมไปถึงถุงขยะและพนักงานที่ดูแลเรื่องความสะอาด แม้กระทั่งพลังงานที่ใช้ในการเผาขยะ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ในแต่ละโรงงานอุตสาหกรรมต้องจัดทำงบประมาณขึ้นมาเพื่อใช้เป็นค่าจ้าง ค่าอุปกรณ์และค่าพลังงานในการจัดการกับขยะ แต่หากมีการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้ขยะมีจำนวนลดลงเพราะมีการนำขยะกลับมาใช้หมุนเวียนทำให้ลดการใช้งบประมาณในการจัดการขยะให้น้อยลงตามไปด้วย ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ถังขยะแยกประเภททำให้การคัดแยกขยะทำได้ถูกต้องมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดมลพิษน้อยลงในสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะขยะที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมมักมีสารเคมีปนเปื้อนมากับขยะซึ่งหากสารเคมีดังกล่าวไม่มีการจัดการที่ดีอาจมีอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนที่อยู่โดยรอบของโรงงานอุตสาหกรรม เช่น สารเคมีที่ปนเปื้อนในดินหรือแหล่งน้ำ หรือมีสารพิษในอากาศที่เกิดจากสารเคมีในกระบนการผลิตหรือการเผาขยะ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค ถังขยะเป็นที่จัดเก็บขยะที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ขยะไม่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงและเชื้อโรคที่จะก่อให้เกิดโรคระบาดได้ โดยเฉพาะขยะเปียกที่มีทั้งความชื้นและจุลินทรีย์ที่เหมาะสำหรับการเพาะพันธุ์ของแมลงวันและเชื้อโรค ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆได้ ประหยัดเวลา การใช้ถังขยะแยกประเภท 4 สีช่วยให้มีความรวดเร็วในการคัดแยกขยะประหยัดเวลาในการจัดการเก็บขยะไม่ต้องมานั่งคัดแยกขยะทีละชิ้นเหมือนการทื้งขยะรวมกัน การจัดการขยะด้วยถังขยะแยกประเภท 4 สีตามหลัก 3Rs เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การแยกขยะโดยใช้ถังขยะแยกประเภท 4 สีกลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อโรงงานอุตสาหกรรมด้วยปริมาณจำนวนขยะที่มีจำนวนมาก หากไม่จัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลกระทบได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จึงใช้หลักการ 3Rs ในการจัดการกับขยะ หลักการ 3Rs เป็นหลักการในการจัดการของเสียที่มีจุดประสงค์ลดการเกิดของเสียให้เหลือน้อยที่สุดโดยการนำกลับไปใช้ซ้ำหรือใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยพิจารณาตามศักยภาพของของเสียในแต่ละประเภท เพื่อให้เหลือของเสียที่ต้องบำบัดหรือกำจัดให้มีปริมาณน้อยที่สุด ซึ่งหลักการในการจัดการของเสียมี 3 วิธีด้วยกัน Reduce ลดหรือควบคุมปริมาณของเสียที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น การลดปริมาณการใช้กระดาษในสำนักงาน Reuse การนำทรัพยากรให้นำกลับมาใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการเปลี่ยนสภาพ Recycle การนำของเสียผ่านกระบวนการเปลี่ยนสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ประโยขน์ใหม่ จากหลักการ 3Rs การใช้ขยะแยกประเภทในการคัดแยกขยะจึงมีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยให้ขยะถูกแยกประเภทและนำกลับไปใช้ตามหลักของ 3Rs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ถังขยะแยกประเภทในการคัดแยกขยะจะช่วยให้การนำขยะรีไซเคิลกลับมาใช้งานมีประสิทธิภาพและได้ปริมาณที่มากที่สุด ที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ได้เพราะไม่มีการปนเปื้อนของขยะอื่น ทำให้ไม่ต้องเสียงบประมาณสำหรับวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิตสินค้าเพิ่มเพราะสามารถใช้วัตถุดิบจากขยะรีไซเคิลมาใช้งานแทนได้ ดังนั้นการคัดแยกขยะและทิ้งขยะลงในถังขยะแยกประเภทจึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่ทุกธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมควรปฏิบัติตามเพื่อตัวเราเอง เพื่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อทำให้โลกใบนี้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น JenStore by Jenbunjerd จัดจำหน่าย ถังขยะ หลากหลายชนิด เช่น ถังขยะแยกประเภท ถังขยะรีไซเคิล ถังขยะอันตราย ถังขยะเปียก ถังขยะแห้ง ถังขยะ 4 สี ถังขยะแบบเหยียบ ถังขยะขนาดใหญ่ ถังขยะพลาสติก ถังขยะสแตนเลส ถังขยะเทศบาล ถังขยะ กทม. ถังขยะ 120 ลิตร รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ใช้กับถังขยะ เช่น ถุงขยะ และมีสินค้าครอบคลุมตามความต้องการ พร้อมทีมขายคุณภาพยินดีให้คำแนะนำ คอยเป็นผู้ช่วยให้งานจัดซื้อของคุณเป็นเรื่องที่ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้นเลือกสินค้าคุณภาพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม เลือก JenStore by Jenbunjerd ผู้นำด้านการผลิต จำหน่าย และส่งออกอุปกรณ์จัดเก็บยกย้าย (Materials Handling Equipment) ที่มีประสิทธิภาพและมีความหลากหลายมากที่สุดในประเทศไทย ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในการจัดเก็บ ยก ย้าย ของลูกค้าในทุกระดับและทุกอุตสาหกรรมได้อย่างครอบคลุมและครบวงจรมากที่สุด ด้วยอุปกรณ์สำหรับการเคลื่อนย้ายและล้ออุตสาหกรรม อาทิ รถเข็น รถเข็นสแตนเลส รถแฮนด์ลิฟท์ รถเข็น 2 ล้อ รถเข็น 4 ล้อ รถเข็นแม่บ้าน รถเข็นทำความสะอาด รถลากพาเลท ล้อรถเข็น และล้อยาง ตลอดจนอุปกรณ์จัดเก็บสินค้า อุปกรณ์เครื่องมือช่าง และตู้เก็บเครื่องมือช่างประเภทต่าง ๆ อาทิ กล่องพลาสติก พาเลทพลาสติก ลังพลาสติก ถังพลาสติก บันไดอลูมิเนียม ชั้นวางของเหล็ก โต๊ะสแตนเลส โต๊ะช่าง ถังขยะ ถังขยะแยกประเภท ถาดรองสารเคมี และพัดลมอุตสาหกรรม ที่พร้อมช่วยยกระดับการจัดเก็บ ยก ย้าย ให้เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว เพื่อเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการช่วยผลักดันให้การดำเนินงานของธุรกิจทุกประเภทเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังให้บริการสินค้าประเภทรถเข็น ล้อรถเข็น เครื่องมือช่าง บันไดอลูมิเนียม แผ่นยางกันลื่น พาเลทพลาสติก ชั้นวางสินค้า โต๊ะพับ เก้าอี้พลาสติก รวมถึงพัดลมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพมากที่สุด ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการช่วยตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดีและมีความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสั่งซื้อถังขยะ ถังขยะแยกประเภทได้ที่ : Website : https://www.jenstore.com (Live Chat)Tel : 02-096-9999 (200 คู่สาย)Email : [email protected] Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ความสำคัญของโต๊ะช่างในธุรกิจอุตสาหกรรม

ความสำคัญของโต๊ะช่างในธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ว่างานหนักหรืองานเบาโต๊ะช่างก็สามารถทำได้ โต๊ะช่างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในการซ่อมบำรุงเครื่องมือทำให้เครื่องมือยังคงประสิทธิภาพในการทำงานและมีอายุการใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้กระบวนการทำงานมีความรวดเร็ว มีความปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนั้นโต๊ะช่างยังใช้ในงานวางชิ้นงาน, ประกอบชิ้นงาน, ติดตั้งเครื่องมือ หรือบางรุ่นของโต๊ะช่างยังสามารถใช้เก็บเครื่องมือช่างได้อีกด้วย โครงสร้างของโต๊ะช่างโดยส่วนใหญ่จะมีความแข็งแรงเพราะต้องรับน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมจนถึง 1,000 กิโลกรัม โต๊ะช่างต้องมีความทนทานเพราะต้องทนต่อแรงกระแทก น้ำมัน สารเคมี ป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิต ป้องกันการลื่นไหลของวัตถุบนโต๊ะ ถอดและประกอบได้ง่าย ในปัจจุบันโต๊ะช่างได้มีการออกแบบฟังก์ชันเพื่อการใช้งานที่มีความหลากหลายเพื่อรองรับการใช้งานทุกประเภท ซึ่งโต๊ะช่างแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันตามวัสดุที่ใช้ในการผลิต ดังนั้นจึงควรเลือกใช้โต๊ะช่างให้เหมาะสมกับลักษณะงานเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด ประเภทของโต๊ะช่าง เลือกใช้ให้ถูกต้องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในการทำงาน โต๊ะช่างสำหรับงานอเนกประสงค์ สามารถรับน้ำหนักได้ประมาณ 100-500 กิโลกรัม โครงสร้างส่วนใหญ่ผลิตจากเหล็กพ่นสีกันสนิม ตัวโต๊ะมีความแข็งแรงและทนทาน รับแรงกระแทกได้ดีแต่มีน้ำหนักที่เบา สามารถปรับรูปแบบให้เป็นโต๊ะทำงานได้ ถอดหรือประกอบได้ง่ายบางรุ่นมีล้อสามารถเคลื่อนย้ายได้ หรือสามารถปรับความสูงของขาโต๊ะได้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน นิยมใช้สำหรับตรวจสอบชิ้นส่วนงานในโรงงานอุตสาหกรรมหรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา รวมไปถึงห้องแล็บและห้องเย็น โต๊ะช่างสำหรับงานช่างทั่วไป สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 2,000 กิโลกรัม โครงสร้างจะผลิตจากเหล็กหนามีความแข็งแรง ทนทานต่อน้ำมันและสารเคมีสามารถป้องกันการสั่นสะเทือนได้จากการทำงานของเครื่องมือช่าง มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน เช่น มีล้อและแท่นเหยียบทำให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกมากขึ้น มีลิ้นชักใช้เก็บเครื่องมือช่าง หรือบางรุ่นจะมีชั้นวางของด้านล่าง นิยมใช้ในงานประกอบชิ้นส่วน, งานซ่อมบำรุงรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม โต๊ะช่างสำหรับงานหนัก สามารถรองรับน้ำหนักได้มากถึง 3,000 กิโลกรัม โครงสร้างผลิตจากเหล็กหนาพิเศษ หน้าโต๊ะหุ้มด้วยพลาสติก PVC เพื่อไม่ให้เกิดการลื่นไหลของเครื่องมือและป้องกันไฟฟ้าสถิต มีความแข็งแรงและทนทาน สามารถรับแรงกระแทกได้ดี ทนต่อกรดและด่าง โต๊ะช่างประเภทนี้อาจจะมีแผงแขวนเครื่องมือช่างเพิ่มขึ้นมา เพื่อเพิ่มฟังก์ชันในการเก็บเครื่องมือ มีลิ้นชัก มีชั้นวางด้านล่าง มีล้อ หรือมีแท่นเหยียบ นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เช่น งานติดตั้งอะไหล่รถยนต์และเครื่องจักร, งานที่ใช้ปากกาในการจับชิ้นงาน โต๊ะช่างหุ้มยาง หน้าโต๊ะจะถูกหุ้มหรือปูด้วยแผ่นยาง ซึ่งแผ่นยางดังกล่าวสามารถป้องกันการลื่นไหลของเครื่องมือ ป้องกันไฟฟ้าสถิต ทนทานต่อน้ำมัน สารเคมีและแรงกระแทก นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันการขีดข่วนไม่ทำให้หน้าโต๊ะเป็นรอย นิยมใช้ในงานโรงงานอุตสาหกรรมและงานช่างทั่วไป โต๊ะช่างมีชั้นวาง ช่วยให้จัดเรียงอุปกรณ์และเครื่องมือช่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชั้นวางสามารถถอดประกอบได้โดยไม่ต้องใช้น็อตในการยึดโต๊ะทำให้เกิดความเสียหาย โดยที่ชั้นวางมีทั้งชั้นบนและชั้นล่างช่วยให้มีความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น นิยมใช้ในงานช่างทั่วไปที่ต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมือเป็นประจำในการทำงาน โต๊ะช่างที่ปรับระดับขาโต๊ะได้ ขาโต๊ะสามารถปรับระดับความสูงได้ทั้งจากการใช้มือเปล่าในการหมุนเพื่อปรับระดับขาโต๊ะหรือใช้ระบบไฟฟ้าโดยกดสวิตช์ในการปรับระดับขาโต๊ะ จึงทำให้สะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้นและสามารถลดความเมื่อยล้าที่เกิดจากการทำงานเป็นระยะวลานานได้ เพราะสามารถทำงานได้ทั้งแบบนั่งและยืนเพียงแค่ปรับความสูงของขาโต๊ะเท่านั้น นิยมใช้สำหรับงานเบา เช่น การบรรจุภัณฑ์ การตรวจสอบชิ้นงาน เป็นต้น โต๊ะช่างที่พับได้ สามารถรองรับน้ำหนักได้ 200 กิโลกรัม ข้อต่อของขาโต๊ะและหน้าโต๊ะสามารถพับเก็บหรือกางออกได้ จึงสะดวกในการเคลื่อนย้ายและช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ โต๊ะช่างชนิดนี้จะมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา แต่มีความแข็งแรง บางรุ่นสามารถปรับการใช้ได้หลายรูป เช่น สามารถปรับเป็นนั่งร้านหรือรถเข็นได้ นิยมใช้ในการงานตัด งานขัด งานซ่อมแซม และงานตกแต่งในครัวเรือนหรือออฟฟิศ นอกจากประเภทของโต๊ะช่างแล้วยังมีส่วนประกอบที่สำคัญของโต๊ะช่างที่มีหลายประเภทเช่นเดียวกันนั้นก็คือประเภทของวัสดุที่ใช้ในการผลิต, ปิดทับ หรือเคลือบหน้าโต๊ะช่าง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่รองรับการทำงานทั้งงานตัด งานขัด งานเจาะ ฯลฯ ที่ต้องมีทั้งความแข็งแรงและทนทาน เป็นวัสดุที่หลากหลายชนิดจึงมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ประเภทของวัสดุที่ใช้ในการทำพื้นโต๊ะช่าง พื้นโต๊ะช่างที่เคลือบโพลี มีคุณสมบัติในการกันน้ำและกันรอยเปื้อนได้เป็นอย่างดี พื้นผิวเรียบและเงา มีความแข็งแรงน้อยจึงนิยมใช้ในงานที่ไม่หนักมาก เช่น งานประกอบ งานบรรจุถุง พื้นโต๊ะช่างเคลือบเมลามีน มีคุณสมบัติที่ต้านทานการเสียดสี, ทนทานต่อสารเคมี, ความร้อน, แสงแดด, คราบเปื้อน และการขีดข่วน แต่ต้องระวังในการใช้งานเนื่องจากมีเนื้อวัสดุที่แข็งจึงแตกร้าวได้ง่ายไม่เหมาะกับงานที่มีแรงสั่นสะเทือนมาก ๆ นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการ, โรงเรียน, สำนักงาน ฯลฯ พื้นโต๊ะช่างที่ปิดทับด้วย PVC มีคุณสมบัติที่ทนทานต่อการขีดข่วน, น้ำมัน, สารเคมีและความชื้น มีความยืดหยุ่นสูง ทำความสะอาดง่าย นิยมใช้ในงานช่างมืออาชีพ พื้นโต๊ะช่างที่ปิดทับด้วยยาง มีคุณสมบัติในการต้านทานการเสียดสี, ทนต่อน้ำ, ทนทานต่อสารเคมี มีความอ่อนตัวจึงไม่ทำให้ผลิตภัณฑ์เกิดความเสียหาย ชนิดของยางที่นิยมใช้ในการปิดทับโต๊ะช่างมีอยู่ 2 ชนิดคือ แผ่นยางป้องกันไฟฟ้าสถิตที่ยังมีคุณสมบัติในการทนทานต่อน้ำมันและทนทานต่อสารตัวทำละลาย และแผ่นยางไวนิลที่สามารถลดแรงสั่นสะเทือนได้ดี ป้องกันการลื่นของวัตถุ โต๊ะช่างที่ใช้ยางในการปิดทับหน้าโต๊ะนิยมใช้ในงานแปรรูป, งานประกอบชิ้นส่วนความละเอียดสูง หรือผลิตภัณฑ์ที่ลื่นง่าย พื้นโต๊ะช่างเหล็ก มีคุณสมบัติที่แข็งแรงและทนทาน แต่ไม่เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้ค้อนเพราะสามารถส่งผ่านแรงสั่นสะเทือนได้ดีจึงอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นิยมใช้ในงานเชื่อมเนื่องจากทนทานต่อความร้อนได้ดีและไม่แตกร้าว พื้นโต๊ะช่างที่ปิดทับด้วยสแตนเลสสตีล ใช้สแตนเลสชนิด SUS 304 มีคุณสมบัติทนสนิมและทนสารเคมีได้เป็นอย่างดี ไม่ดูดซึมสารเคมี จึงนิยมใช้ในห้องปลอดเชื้อ, ห้องปฏิบัติการ และอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยประเภทของอุตสาหกรรมมีหลายประเภทส่งผลให้โต๊ะช่างจึงต้องมีการผลิตจากหลากหลายวัสดุเพื่อให้ตอบโจทย์ในการใช้งานในอุตสาหกรรมทุกประเภท โต๊ะช่างมีการออกแบบที่รองรับการใช้งานช่างอย่างครบครัน เช่น มีรางปลั๊กไฟใช้สำหรับเครื่องมือไฟฟ้า, มีระยะเป็นเซนติเมตรคล้ายไม้บรรทัดและรัศมีในการวัดมุมเพื่อใช้ในการวัดบนหน้าโต๊ะ, มีชั้นวางอุปกรณ์เพื่อสะดวกในการหยิบใช้อุปกรณ์ ฯลฯ ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้ช่วยให้ช่างสามารถทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ช่างสามารถทำงานช่างได้หลากหลาย เช่น งานตัด งานตอก งานขัด งานเจาะ งานประกอบ งานตรวจสอบ หรืองานเชื่อมได้บนโต๊ะช่างเพียงตัวเดียว Jenstore by Jenbunjerd เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ช่าง บันไดอลูมิเนียม โต๊ะสแตนเลส ตู้เก็บเครื่องมือช่าง รถเข็นเครื่องมือช่าง โต๊ะช่าง โต๊ะช่างพื้น ABS พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้งานกับโต๊ะช่าง เช่น แผงแขวนเครื่องมือช่าง, ชุดแขวนเครื่องมือช่าง, อุปกรณ์จับยึดปากกาเพื่อทำงานบนโต๊ะช่าง และเก้าอี้ช่างที่มีคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ พร้อมยินดีให้คำแนะนำในการเลือกใช้งาน สนใจสินค้าอุปกรณ์ช่าง บันไดอลูมิเนียม โต๊ะสแตนเลส ตู้เก็บเครื่องมือช่าง รถเข็นเครื่องมือช่าง โต๊ะช่าง ติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เช็คลิสต์อุปกรณ์ที่ช่วยให้การทำงานในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพ

เช็คลิสต์อุปกรณ์ที่ช่วยให้การทำงานในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพในการยกย้ายและจัดเก็บด้วยรถยกไฟฟ้าและชั้นวางสินค้า การจัดการโรงงานอุตสาหกรรมที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภาพของการผลิตให้ระบบทุกอย่างสามารถทำงานกันได้อย่างสอดคล้องและคล่องตัว ในอดีตโรงงานอุตสาหกรรมมีการวางระบบและการจัดการโดยใช้คนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนทุกกระบวนการในโรงงานอุตสาหกรรม แต่เมื่อยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงไปมีการพัฒนาเทคโนโลยีทำให้มีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้กระบวนการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งคนยังเป็นผู้ที่ควบคุมดูแลแต่มีการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อส่งเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในงานที่มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเสียหายที่กระทบต่อธุรกิจได้อย่างการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ รถเข็น, รถลากพาเลท และรถยกไฟฟ้า เป็นเครื่องมือที่สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะสามารถรองรับน้ำหนักและสินค้าที่มีจำนวนมากได้ดี มีความแข็งแรงและทนทาน เป็นเครื่องทุ่นแรงที่ดีในการยก-ย้ายและยังช่วยทำให้การยก-ย้ายมีความรวดเร็วที่ตอบสนองต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน การใช้งานอุปกรณ์ทั้ง 3 ประเภทถึงจะมีจุดประสงค์ที่เหมือนกันแต่มีการใช้งานที่แตกต่างกันตามการออกแบบและฟังก์ชัน การใช้งานที่ตอบโจทย์การยก-ย้ายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด รถเข็น, รถลากพาเลท, รถยกไฟฟ้า เครื่องมือที่ช่วยยกระดับในการยก-ย้าย รถเข็น เป็นเครื่องมือในการเคลื่อนย้ายแบบอเนกประสงค์ที่เคลื่อนย้ายได้ตั้งแต่อุปกรณ์สำนักงาน สินค้า จนถึงเครื่องมือต่าง ๆ ที่รองรับน้ำหนักได้ตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักร้อยกิโลกรัม โดยส่วนใหญ่ที่นิยมใช้จะเป็นรถเข็นที่มี 4 ล้อเพราะมีความคล่องตัวและมีขนาดฐานที่ใหญ่ทำให้มีพื้นที่ในการวางสิ่งของได้มาก นอกจากนี้รถเข็น 4 ล้อยังมีการแยกประเภทของฐานของรถเข็นที่ผลิตจากวัสดุที่ต่างชนิดกัน คือเหล็ก สเตนเลสและพลาสติก เพื่อให้เหมาะกับประเภทของอุตสาหกรรมที่มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร เหมาะสำหรับรถเข็นพื้นสเตนเลสหรือพลาสติก เพราะทนทานต่อความชื้น ความเย็น และน้ำได้ดี ฐานของรถเข็นไม่เป็นสนิมจึงช่วยลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อนในอาหารได้ รถเข็นพื้นเหล็กเหมาะในการขนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเพราะมีความแข็งแรงจึงใช้งานได้ดีในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งในโรงงานอุตสาหกรรมยังมีรถเข็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในลักษณะพิเศษ เช่น รถเข็นไต่บันได, รถเข็นดอลลี่ เป็นต้น รถลากพาเลท ถูกออกแบบมาเพื่อให้เคลื่อนย้ายสินค้าหรือขนส่งสินค้าที่มีจำนวนหรือน้ำหนักที่มาก โดยรถลากพาเลทจะมีฐานที่มีลักษณะพิเศษคล้ายส้อมเรียวยาวหรือที่เรียกว่า “งา” โดยจะเข้าต่อกับปั๊มไฮโดรลิกที่มีคันโยกปั๊มเพื่อยกงาขึ้น-ลง เป็นเครื่องทุ่นแรงในการเคลื่อนย้ายสินค้า โดยรถลากพาเลทที่ใช้ควรคู่กับพาเลทซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วางสินค้า เนื่องจากงาจะทำหน้าที่ช้อนช่องที่อยู่ด้านล่างของพาเลทเพื่อยก-ย้ายสินค้าหรือสินค้าที่บรรจุด้วยกล่องหรือทรงคล้ายกล่องก็สามารถยก-ย้ายได้โดยที่ไม่ต้องวางบนพาเลท หลังจากนั้นรถลากพาเลทจะเคลื่อนย้ายสินค้าไปยังจุดที่ต้องการหรือนำไปใช้งาน รถลากพาเลทสามารถรองรับน้ำหนักสินค้าได้ตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักพันกิโลกรัม ซึ่งรถลากพาเลทมีด้วยกัน 3 ประเภท คือ รถลากพาเลทแบบแมนนวล ใช้แรงคนในการเคลื่อนย้ายและโยกปั๊มไฮดรอลิกเพื่อยกสินค้าขึ้น-ลง เหมาะกับอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น ลานมัน, ลานอ้อย, โรงพิมพ์, คลังเก็บสินค้า รถลากพาเลทกึ่งไฟฟ้า ที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายด้วยระบบไฟฟ้า แต่ใช้แรงคนในการโยกปั๊มไฮดรอลิกเพื่อยกสินค้าขึ้น-ลง เหมาะในงานโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ รถลากพาเลทไฟฟ้า (Power Pallet Truck) ควบคุมทุกอย่างด้วยระบบไฟฟ้า และบางรุ่นมีเพิ่มฟังก์ชันในการใช้งานโดยมีแท่นยืนเพื่อลดความเมื่อยล้าจากการทำงาน เป็นรถลากพาเลทที่นิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตสินค้าทั่วไป เพราะประหยัดเวลาได้มากในการเคลื่อนย้ายสินค้า รถยกไฟฟ้า เป็นรถที่ควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยไฟฟ้า สามารถยกพาเลทได้สูงกว่ารถลากพาเลทและสามารถซ้อนพาเลทในแนวดิ่งได้ดี จึงสามารถใช้ในการจัดเก็บสินค้าบนชั้นวางสินค้าหรือจัดเก็บสินค้าในแนวดิ่งได้ หรือจะใช้เคลื่อนย้ายสินค้าไปยังรถขนส่งโดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในการขนย้ายขึ้นรถบรรทุก รถยกไฟฟ้าใช้เคลื่อนย้ายสินค้าที่มีจำนวนและน้ำหนักมาก ๆ ได้ สามารถรองรับน้ำหนักได้ตั้งแต่หลักพันกิโลกรัมขึ้นไป รถยกไฟฟ้าช่วยให้การจัดการสินค้ามีความรวดเร็วและประหยัดเวลาเป็นอย่างมาก สามารถเพิ่มรอบการเคลื่อนย้ายสินค้าต่อวันได้มากขึ้น มีขนาดที่เล็กจึงใช้งานในที่แคบได้ดีและไม่ก่อมลพิษทั้งทางกลิ่นและเสียง บางรุ่นมีการเพิ่มฟังก์ชันในการใช้งานด้วยการมีแท่นยืนเพื่อลดความเมื่อยล้าจากการทำงาน อุปกรณ์ยก-ย้ายทั้ง 3 ชนิดนิยมใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเนื่องจากสามารถจัดการกับสินค้าที่มีจำนวนและน้ำหนักมากได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่สามารถทันต่อการแข่งขันของธุรกิจได้ แผนกที่มีการใช้งานรถเข็น, รถลากพาเลท และรถยกไฟฟ้า มากสุดในโรงงานอุตสาหกรรมคือแผนกคลังสินค้า เพราะเป็นแผนกที่จัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าทั้งหมดของโรงงานอุตสาหกรรม การบริหารคลังสินค้ามีผลต่อผลกำไรของธุรกิจ จึงทำให้การบริหารคลังสินค้าต้องมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ รวมไปถึงการจัดการพื้นที่ในการจัดเก็บซึ่งเป็นหัวใจหลักของคลังสินค้าที่ต้องใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรให้คุ้มค่าเพราะคลังสินค้าก็เป็นหนึ่งในต้นทุนของธุรกิจ ดังนั้นในการเลือกอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ในการจัดเก็บจึงต้องคำนึงคุณสมบัติที่เหมาะสมในการทำงานที่จะช่วยส่งเสริมให้พื้นที่ในคลังสินค้าสร้างมูลค่าได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งชั้นวางสินค้า, ลังพลาสติก, กล่องพลาสติก เป็นอุปกรณ์ที่ในทุกคลังสินค้าต้องมีเนื่องจากสามารถสร้างประโยชน์และก่อให้เกิดกำไรให้กับธุรกิจได้ ชั้นวางสินค้า, ลังพลาสติก, กล่องพลาสติก อุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการจัดเก็บ ชั้นวางสินค้า เป็นอุปกรณ์ที่สามารถเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าในแนวดิ่งได้เป็นอย่างดี ด้วยชั้นวางสินค้าสามารถมีหลายชั้นและซ้อนกันเป็นแนวดิ่งได้ สามารถใช้แบ่งสัดส่วนในพื้นที่คลังสินค้าได้ ชั้นวางสินค้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีทั้งชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่ และขนาดเล็กขึ้นอยู่กับโรงงานอุตสาหกรรมจะเลือกใช้งานชั้นวางสินค้าประเภทไหนเพื่อให้ตอบโจทย์กับการจัดเก็บสินค้ามากที่สุด ชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่โดยส่วนใหญ่จะใช้งานร่วมกับพาเลท อุปกรณ์ในการจัดเก็บ และรถยกไฟฟ้าหรือรถโฟลค์ลิฟท์ สามารถปรับระยะของชั้นหรือถอดประกอบได้ ซึ่งชั้นวางสินค้าขนาดใหญ่ก็มีหลายประเภทเพื่อตอบโจทย์การจัดเก็บสินค้าที่มีความแตกต่างกัน เช่น ชั้นวางสินค้าแบบ Drive-In/ Drive Through เหมาะสำหรับสินค้าที่ SKUs น้อยแต่มีจำนวนต่อ SKUs ที่มาก ชั้นวางสินค้าประเภทนี้มีข้อจำกัดในการใช้พาเลทและระบบการหมุนเวียนสินค้าต้องเป็นแบบ First-In First-Out เท่านั้น, ชั้นวางสินค้าแบบ FIFO เป็นชั้นวางสินค้าที่มีระบบลูกกลิ้งอยู่ภายในพาเลท จึงทำให้มีความรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายสินค้าและเพื่อให้เคลื่อนที่ไปในทางเดียวกัน ระบบหมุนเวียนสินค้าเป็นแบบ First-In First-Out เหมาะสำหรับสินค้าที่มีอายุในการใช้งานหรือสินค้าที่ต้องมีการหมุนเวียนตลอดเวลา ชั้นวางสินค้าขนาดเล็กสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์จัดเก็บได้ เช่น ลังพลาสติก, กล่องพลาสติกเป็นชั้นวางที่สามารถใช้วางสินค้าในคลังสินค้าหรือจัดเก็บเอกสารในอาคารสำนักงานได้ ชั้นวางสินค้าชนิดนี้บางรุ่นโครงสร้างเป็นแบบ Knock-Down ง่ายต่อการติดตั้งหรือรื้อถอน ปรับระดับของชั้นได้ มีแผงปิดด้านข้างและด้านหลังได้เพื่อป้องกันสินค้าตกหล่น บางรุ่นมีล้อเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้าย การเลือกชั้นวางสินค้าทั้งสองประเภทควรพิจารณาจากชนิด ขนาด และน้ำหนักสินค้าที่จะจัดเก็บเพื่อจะได้เลือกอุปกรณ์ในการจัดเก็บได้เหมาะสม ลังพลาสติกและกล่องพลาสติก ใช้ในการจัดเก็บสินค้า แยกหมวดหมู่และประเภทสินค้า บางรุ่นมีป้ายเสียบชื่อพลาสติกเพื่อใช้บอกรายละเอียดของสินค้า ซึ่งลังพลาสติกและกล่องพลาสติกยังช่วยรักษาคุณภาพของสินค้า ป้องกันสินค้าจากแมลง ฝุ่นละออง หรือสารที่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน ช่วยให้ค้นหาหรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย ลังพลาสติกและกล่องพลาสติกจะมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกันและแตกต่างกันขึ้นอยู่กับการใช้ในการบรรจุสินค้าชนิดไหน มีลักษณะอย่างไร ซึ่งลักษณะโดยรวมของลังพลาสติกและกล่องพลาสติกจะมีทั้งแบบทึบและแบบใส ส่วนใหญ่แบบใสจะใช้ในการจัดเก็บสินค้าที่มีการหมุนเวียนที่เร็วเพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นสินค้าด้านใน ส่วนแบบทึบส่วนใหญ่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าที่แสงมีผลต่อคุณภาพของสินค้า แบบมีฝาใช้ในการป้องกันฝุ่นและแมลง แบบไม่มีฝาปิดสามารถซ้อนเก็บได้เมื่อไม่ใช้งาน ซึ่งทั้งสองแบบบางรุ่นสามารถวางซ้อนกันได้ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บเมื่อไม่ใช้งาน มีตัวล็อกเพื่อป้องกันการตกหล่นของสินค้า บางรุ่นมีล้อทำให้มีความรวดเร็วในการเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ลังพลาสติกบางประเภทจะมีรูรอบ ๆ เพื่อใช้ในการระบายอากาศมักใช้ในการบรรจุผัก ผลไม้ เพื่อคงความสดและป้องกันการบอบช้ำในการจัดเก็บและการขนส่ง หรือบางรุ่นมีช่องเปิดปิดฝาด้านข้างทำให้หยิบสินค้าออกมาได้ในขณะที่วางซ้อนกัน หรือบางแบบมีสีต่างกันในใบเดียวสะดวกในการจัดหมวดหมู่สินค้าหรือตรวจสอบสินค้า ซึ่งรูปแบบทั้งหมดก็เพื่อให้การจัดเก็บมีประสิทธิภาพมากที่สุด การเลือกใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้เป็นอย่างมาก โดยรถเข็น, รถลากพาเลท และรถยกไฟฟ้า ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน ต้นทุนของเวลา และค่าใช้จ่ายของความเสียหายที่เกิดจากการยก-ย้ายของแรงงานคน ชั้นวางสินค้า, ลังพลาสติกและกล่องพลาสติก ช่วยลดความสูญเปล่าที่อาจเกิดขึ้นจากการเสื่อมคุณภาพของสินค้า, ความเสียหายของสินค้าที่เกิดจากการตกหล่น และช่วยลดต้นทุนในการเช่าหรือสร้างคลังสินค้าเพิ่ม ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดสามารถเพิ่มทั้งศักยภาพในการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผลต่อผลประกอบการของธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม Jenstroe by Jenbujerd ผู้ผลิตและจำหน่าย อุปกรณ์ในการเคลื่อนย้าย เช่น รถเข็นอุตสาหกรรม, รถเข็น, รถเข็น 4 ล้อ, รถเข็นไต่บันได, รถเข็นดอลลี่, รถลากพาเลท, รถยกไฟฟ้า ที่ได้มาตรฐานจากแบรนด์ชั้นนำ อุปกรณ์ในการจัดเก็บ เช่น ชั้นวางสินค้า, ชั้นวางของเหล็ก, ชั้นวางของอเนกประสงค์, กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และถังพลาสติก ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพที่มีทั้งความแข็งแรงและทนทาน ช่วยให้สินค้าปลอดภัยจากการจัดเก็บ พร้อมยินดีให้คำแนะนำจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยเลือกเครื่องมือและอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสมและบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องมืออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รถยกไฟฟ้า ช่วยลดมลพิษและยกระดับแบรนด์สินค้า

เครื่องมืออุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รถยกไฟฟ้า ช่วยลดมลพิษและยกระดับแบรนด์สินค้า รถยกไฟฟ้า พลังงานทางเลือกที่ช่วยให้โลกสะอาดมากยิ่งขึ้น เครื่องมือที่มีการใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้เครื่องมือมีการใช้พลังงานสะอาดให้มากที่สุด โดยเฉพาะเครื่องมือในการยก-ย้ายที่มีการทำงานตลอดเวลาซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกระบวนการต่าง ๆ ให้มีการดำเนินงานตามแผนงานที่กำหนดไว้ ในหลายโรงงานอุตสาหกรรมจึงนิยมเลือกใช้ รถยกไฟฟ้า เพื่อช่วยลดมลพิษเนื่องจากรถยกไฟฟ้าเป็นเครื่องจักรที่ไม่มีการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นต้นเหตุของภาวะโลกร้อน แต่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการยก-ย้ายสินค้า ที่ไม่มีทั้งการเผาไหม้ ไม่มีเขม่าควันพิษ ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเสียงดังจากเครื่องจักรจากการทำงานที่มีผลเสียทั้งต่อสภาพแวดล้อมและสุขภาพของพนักงาน นอกจากนี้รถยกไฟฟ้ายังมีประสิทธิภาพที่รวดเร็วในการยก-ย้ายสินค้า เป็นเครื่องทุ่นแรงที่ดีเพราะสามารถยกสินค้าที่มีน้ำหนักจำนวนมาก ขึ้นที่สูงได้ สามารถจัดเรียงสินค้าในแนวดิ่งทำให้เพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บได้เป็นอย่างมาก และยังสามารถเพิ่มรอบการทำงานทำให้การดำเนินธุรกิจมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมพลังงานสะอาดรถยกไฟฟ้า เครื่องมือในการยก-ย้ายในที่สูง อย่างที่ทราบกันรถยกไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนซึ่งถือได้ว่าเป็นพลังงานที่ปราศจากมลพิษหรือก่อมลพิษได้น้อย แต่เดิมทีรถยกเป็นระบบแมนนวลโดยใช้แรงคนในการโยกคันโยกจากระบบปั๊มไฮโดรลิกเพื่อให้มีการยกขึ้น-ลงได้ตามที่ต้องการซึ่งไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ด้วยความรวดเร็วในการขยายตัวของธุรกิจ รถยกระบบแมนนวลอาจจะไม่ตอบโจทย์ในการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็ว จึงมีการพัฒนามาเป็นรถยกระบบกึ่งไฟฟ้าและรถยกไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน 100% ที่มีทั้งความรวดเร็วและสมรรถนะในการยก-ย้ายสินค้า และด้วยกระแสรักษ์โลกที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกทำให้โลกเกิดภาวะโลกร้อนและทำให้สภาพอากาศแปรปรวนที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้หลายอุตสาหกรรมตระหนักถึงผลกระทบจึงพยายามลดมลพิษที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกในทุกกระบวนการ รถยกไฟฟ้าจึงถูกนำมาพัฒนาเพื่อให้มีการสร้างมลภาวะเป็นศูนย์ แต่มีสมรรถนะที่ดีในการยก-ย้าย ใช้งานง่าย และกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้มากขึ้น และด้วยการเล็งเห็นปัญหาต่อภาวะโลกที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทพลังงานเชื้อเพลิงเริ่มเปลี่ยนทิศทางมาผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น พยายามพัฒนาแบตเตอรี่ที่ก่อให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดดั่งเดิมที่ใช้กับรถยกไฟฟ้าคือ แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดที่ทำมาจากแผ่นธาตุ (Plate), แผ่นกั้น (Separator) และมีน้ำกรดกำมะถัน (Electrolyte) มีข้อควรระวังในการใช้ คือในขณะที่ชาร์จไฟฟ้าจะมีการปล่อยไอเคมีออกมาซึ่งมีผลเสียต่อสุขภาพพนักงาน ทำให้ต้องมีการแยกพื้นที่ชาร์จไฟฟ้าออกมาจากพื้นที่ทำงานในส่วนอื่น ๆ ซึ่งแบตเตอรี่กรด-ตะกั่วยังมีการแบ่งออกเป็นแบบน้ำ แบบกึ่งแห้ง และแบบแห้ง ซึ่งรถยกไฟฟ้าที่จะใช้แบตเตอรี่แบบแห้งจะมีความสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเพราะไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นในการใช้งานแต่เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยกไฟฟ้าก็ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนพบแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเป็นแบตเตอรี่ชนิดใหม่ที่ปล่อยมลภาวะน้อยมากจนเกือบเท่ากับศูนย์แต่มีพละกำลังเพราะเป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ให้ประจุไฟฟ้าสูงและการกักเก็บพลังงานที่มากขึ้น ประกอบกับธาตุลิเทียมเป็นเซลล์แห้งที่ไม่มีส่วนประกอบอันตรายต่อธรรมชาติ จึงทำให้รถยกไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเป็นพลังงานสะอาด ที่ช่วยประหยัดพลังงาน ขับเคลื่อนในระยะทางที่ไกลขึ้นกว่าเดิม และมีรอบชาร์จไฟที่มากกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น ซึ่งแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่นิยมนำมาใช้ในรถยกไฟฟ้าคือแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟตเพราะให้พละกำลังที่สูงจึงเหมาะในการยก-ย้ายสินค้าหนัก ๆ ได้ นอกจากจะใช้ในรถยกไฟฟ้าแล้วยังนำมาใช้ในรถยกลากพาเลทไฟฟ้า,รถลากจูงไฟฟ้า, รถโฟร์คลิฟท์ เป็นต้น รถเข็น, รถลากพาเลท, อุปกรณ์เคลื่อนย้ายที่ปราศจากมลพิษ นอกจากรถยกไฟฟ้าแล้วยังมีรถเข็น, รถลากพาเลท ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ในโรงงานอุตสาหกรรมมักจะนำมาใช้งาน เครื่องมือทั้งสองชนิดไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นพลังงานที่มีทั้งประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผล รถเข็นและรถลากพาเลทใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักหรือจำนวนมาก ๆ เช่น ในคลังสินค้า ที่มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบแมนนวลและแบบระบบไฟฟ้า การใช้งานของรถเข็นทั้งสองประเภทถึงแม้จะใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายเหมือนกันแต่ก็มีลักษณะในการใช้งานที่แตกต่างกันขึ้นอยู่ปริมาณของสิ่งของ น้ำหนักของสิ่งของ และรูปแบบในการทำงานรถเข็นนิยมใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนักตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อยกิโลกรัม ใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของทั่วไปตั้งแต่สิ่งของในสำนักงานจนถึงสินค้าในคลังสินค้า รถเข็นที่ใช้งานในโรงงานอุตสากรรมมีหลายประเภทมีทั้งแบบรถเข็น 4 ล้อ และรถเข็น 2 ล้อ ซึ่งรถเข็น 4 ล้อจะมีความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือสินค้าที่หลากหลายลักษณะ แต่รถเข็น 2 ล้อใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีรูปทรงกระบอกและมีขนาดใหญ่ แต่ก็มีรถเข็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อนำมาใช้ในลักษณะงานบางอย่าง เช่น รถเข็นไต่บันได ที่ออกแบบให้ล้อรถเข็นมีข้างละ 3 ล้อเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายบนบันได หรือรถเข็นดอลลี่ที่ออกมาแบบมาเพื่อให้ทำหน้าที่คล้ายพาเลทสินค้า อีกทั้งสามารถเชื่อมต่อกันได้เพื่อขยายพื้นที่ ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของในปริมาณที่มากขึ้นได้ และรถเข็นไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เช่น แบตเตอรี่ชนิด ดีฟไซเคิล (Free Maintenance) เป็นแบตเตอรี่ที่ใช้เก็บสะสมพลังงานจากกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานกังหันลม เป็นพลังงานทางเลือกและเป็นพลังงานสะอาดที่มีการพัฒนาและนำมาใช้งานเพื่อลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมรถลากพาเลท ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีน้ำหนักหรือจำนวนมากที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึงหลักพันกิโลกรัม รถลากพาเลทจะมีลักษณะที่พิเศษโดยจะมีที่ยกพาเลทลักษณะคล้ายส้อมเรียวยาวเพื่อสอดเข้าไปที่ใต้พาเลทเพื่อยกขึ้น-ลง โดยการยกขึ้น-ลงของงาจะใช้ระบบปั๊มไฮโดรลิกเพื่อทุ่นแรงในการทำงาน รถลากพาเลทมีทั้งระบบแมนนวล แบบกึ่งแมนนวล และระบบไฟฟ้า ระบบแมนนวลจะใช้แรงคนในการโยกคันโยกเพื่อปั๊มไฮโดรลิกและลากรถลากพาเลทเพื่อเคลื่อนย้ายสินค้า ระบบกึ่งแมนนวลจะใช้แรงงานคนในการปั๊มไฮโดรลิกและใช้ระบบไฟฟ้าในการเคลื่อนย้าย และระบบไฟฟ้าคือการใช้ระบบไฟฟ้าทำงาน 100% ซึ่งมีการใช้งานทั้งแบตเตอรี่ลิเทียมและแบตเตอรี่ดีฟไซเคิล เป็นแบตเตอรี่พลังงานสะอาดทั้งคู่การเลือกใช้เครื่องมืออุตสาหกรรมหากเลือกใช้ที่เป็นพลังงานสะอาดในการขับเคลื่อนการทำงานจะช่วยเพิ่มโอกาสให้โลกมีเวลาในการปรับสมดุลและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้มีมากยิ่งขึ้น การเลือกใช้ รถยกไฟฟ้า, รถเข็นและรถลากพาเลทแบบระบบไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสะอาดจะช่วยเป็นเกราะป้องกันให้โลกต้องเจอมลพิษที่ทำให้เกิดการปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลง นอกจากนั้นด้วยกระแสพลังงานสะอาดที่นับวันจะมีมากยิ่งขึ้นจนหลายประเทศกำหนดให้เป็นนโยบายโดยตั้งเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมจึงเลือกใช้งานเครื่องมืออุตสาหกรรมที่เกิดจากพลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น เพื่อแสดงเจตนารมณ์ถึงการใส่ใจสิ่งแวดล้อมซึ่งมีผลต่อความรู้สึกของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C เป็นการยกระดับแบรนด์สินค้าผ่านพลังงานสะอาดที่มีผลดีทั้งต่อโลกและธุรกิจJenstore by Jenbujerd เป็นผู้นำในอุปกรณ์เคลื่อนย้ายสินค้า ภายใต้แบรนด์ JUMBO เช่น รถเข็น, รถเข็นพับได้, รถเข็นอเนกประสงค์ รถแฮนด์ลิฟท์, รถลากพาเลท, รถยกไฟฟ้า, รถเข็นดอลลี่ ฯลฯ คุณภาพส่งออกที่ได้รับสิทธิพิเศษในการใช้ "Thailand Trust Mark" เพื่อแสดงถึงความไว้วางใจและมั่นใจได้ในรถเข็นคุณภาพระดับพรีเมียมของไทย นอกจากนั้นยังรับทำรถเข็นตามแบบได้ทุกรูปแบบและทุกขนาดเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้งาน พร้อมบริการหลังการจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มาทำความรู้จักสแตนเลส วัสดุที่มักนำมาใช้เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือโรงพยาบาล

มาทำความรู้จักสแตนเลส วัสดุที่มักนำมาใช้เป็นอุปกรณ์และเครื่องมือโรงพยาบาล สแตนเลสเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในรถเข็นที่ใช้ในโรงพยาบาล อุปกรณ์ที่ใช้ในโรงพยาบาลควรต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีความสะอาด ลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความปนเปื้อนเนื่องจากอาจทำให้เกิดการติดเชื้อไปยังผู้ป่วยหรือประชาชนทั่วไปได้ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานเป็นประจำทุกวัน เช่น รถเข็นโรงพยาบาลที่มีหน้าที่เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยทั้งที่ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ให้สามารถเคลื่อนย้ายไปได้ หรือรถเข็นทำแผลที่ต้องใช้จัดเก็บอุปกรณ์ในการทำแผลให้ผู้ป่วย หากอุปกรณ์อย่างรถเข็น กล่องเก็บอุปกรณ์ทำแผล มีความสกปรกหรือมีการปนเปื้อนอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลของผู้ป่วยผ่านสำลีหรือผ้าก๊อซที่เกิดการปนเปื้อนจากการจัดเก็บ ซึ่งอุปกรณ์ที่ยกตัวอย่างมาโดยส่วนใหญ่มักผลิตจากสแตนเลสซึ่งเป็นวัสดุที่มักถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ อุตสาหกรรมอาหารและยา เป็นอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสะอาดและถูกสุขลักษณะมากที่สุด “สแตนเลส” วัสดุที่นิยมนำมาผลิตอุปกรณ์และรถเข็นประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงพยาบาล ทำความรู้จักกับ “สแตนเลส” วัสดุที่สะอาดและถูกสุขอนามัย สแตนเลสหรือที่คนไทยเรียกว่าเหล็กกล้าไร้สนิมผลิตจากโลหะผสมที่มีส่วนประกอบสำคัญ คือ เหล็ก, โครเมียม, และคาร์บอน อาจมีการเติมสารชนิดอื่นเพิ่มเข้าไปเพื่อให้มีคุณสมบัติตามที่ต้องการในการใช้งาน สแตนเลสมีคุณสมบัติที่โดดเด่นคือไม่เกิดสนิมเนื่องจากโครเมียมที่อยู่ในสแตนเลสมีการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้เกิดแผ่นฟิล์มบาง ๆ คอยเคลือบผิวของสแตนเลสซึ่งเรียกปฏิกิริยานี้ว่า “โครเมียมออกไซด์” เพื่อป้องกันการเกิดสนิมหรือการกัดกร่อนต่าง ๆ ในเนื้อวัสดุจึงไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน นอกจากนั้นเชื้อโรคอย่างแบคทีเรียยังไม่สามารถเกาะติดและอยู่รอดได้ยากในพื้นผิวของสแตนเลส และง่ายในการทำความสะอาด ชนิดของสแตนเลสที่นำมาใช้งานมีหลายชนิดโดยมีความแตกต่างกันที่อัตราส่วนผสมหรือแร่ธาตุชนิดอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมเข้าไป จึงทำให้สแตนเลสมีหลายชนิดและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ชนิดของสแตนเลสที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตอุปกรณ์และรถเข็นประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงพยาบาลคือ สแตนเลสตระกูลออสเทนนิติคเกรด 304 เป็นชนิดที่มีมาตรฐาน Food Grade มีความทนทานต่อความร้อน การกัดกร่อน มีความเหนียว และไม่เป็นสนิมเนื่องจากมีโครเมียมเป็นส่วนผสมหลัก จึงเกิดปฏิกิริยา “โครเมียมออกไซด์” เพื่อสร้างชั้นฟิล์มเคลือบผิวของสแตนเลสและถึงแม้ชั้นฟิล์มสแตนเลสถูกทำลายไม่ว่าจะจากสารเคมี หรือออกซิเจนที่มีอยู่ในอากาศ จะมีการสร้างฟิล์มด้วยปฏิกิริยาของโครเมียมขึ้นมาทดแทนใหม่อยู่เสมอ จึงไม่มีโอกาสเกิดสนิม นอกจากนั้นยังมีความเป็นกลางสูงจึงไม่ดูดซึมสารเคมี กลิ่น รสชาติอาหารชนิดต่าง ๆ ทำความสะอาดได้ง่าย เป็นวัสดุที่ทั้งปลอดภัยและถูกสุขลักษณะเป็นอย่างมาก ตัวอย่างของอุปกรณ์และชนิดของรถเข็นที่ใช้ในโรงพยาบาลที่ผลิตจากวัสดุสแตนเลส รถเข็นโรงพยาบาล เป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำให้สามารถได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงทีและยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการเคลื่อนไหวร่างกาย รถเข็นโรงพยาบาลมีด้วยกัน 2 แบบคือ รถเข็นแบบนั่งและรถเข็นแบบนอน รถเข็นแบบนั่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้หรือไม่ได้รับบาดเจ็บมาก สำหรับรถเข็นแบบนอนจะใช้ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสติหรือได้รับการบาดเจ็บที่ห้ามมีการเคลื่อนไหวของร่างกายรวมไปถึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งสแตนเลสมักถูกนำมาใช้ในการทำโครงของรถเข็นโรงพยาบาลเนื่องจากมีความแข็งแรงและไม่เป็นสนิมง่าย รถเข็นฉีดยา เป็นรถเข็นที่เพิ่มความสะดวกในการรักษาพยาบาลให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากรถเข็นฉีดยาสามารถเก็บอุปกรณ์ในการฉีดยาให้เป็นระเบียบและสะดวกในการใช้งาน รถเข็นจะมีช่องหรือลิ้นชักในการจัดเก็บอุปกรณ์มีพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์บนรถเข็นและมีขอบกั้นเพื่อป้องกันการตกหล่น ซึ่งโครงสร้างของรถเข็นจะผลิตจากสแตนเลส รวมไปถึงอุปกรณ์ในการจัดเก็บสำหรับการฉีดยาก็ยังผลิตจากสแตนเลส เช่น กล่องใส่สำลี, กล่องใส่เครื่องมือแพทย์, ชามรูปไต, ถาดหลุมทำแผล เป็นต้น รถเข็นเก็บจาน ใช้ในการเก็บจานหรือบางรุ่นมีที่เก็บเศษอาหารด้วย ส่วนใหญ่ใช้เก็บจานอาหารของผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ซึ่งโครงสร้างของรถเข็นเก็บจานจะผลิตจากสแตนเลสเกรด 304 เพราะทนทานต่อความชื้นและน้ำได้ดี ไม่เป็นสนิม ทำความสะอาดง่าย มีชั้นในการวางจานพร้อมราวกันตก มีหลุมในการทิ้งเศษอาหารเป็นรูปทรงกรวยป้องกันเศษอาหารกระจายเมื่อเทลงไปข้างล่างโดยข้างล่างจะมีถังพลาสติกรองรับอยู่ด้านใน รถเข็นอาหาร ใช้สำหรับบรรจุอาหารเพื่อส่งให้กับผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ผลิตจากสเตนเลสเกรด 304 คุณภาพดีเพราะมีความใกล้ชิดกับอาหารผู้ป่วยจึงต้องปราศจากการปนเปื้อนและถูกสุขลักษณะมากที่สุด รถเข็นอาหารจะมีชั้นวางซึ่งสามารถปรับระดับชั้นได้หรือจะถอดออกแล้วปรับเป็นตู้โล่งได้เพื่อสามารถขนย้ายอาหารได้ตามที่ต้องการ มีกลอนประตูสำหรับคล้องกุญแจจึงสามารถล็อกได้ ถังขยะสแตนเลส เป็นถังขยะที่เหมาะในการใช้งานในโรงพยาบาลเพราะถูกสุขลักษณะโดยเฉพาะเชื้อโรคแบคทีเรียไม่สามารถเติบโตได้ ไม่ดูดซับสารเคมีต่าง ๆ และทนทานต่อกรดและด่าง ถังขยะสแตนเลสโดยส่วนใหญ่จะมีที่ให้เท้าเหยียบเพื่อลดการปนเปื้อนมากที่สุด นอกจากนั้นถังขยะสแตนเลสยังใช้ในการตกแต่งอาคารหรือสำนักงานให้ดูสะอาดเรียบร้อยได้อีกด้วย มีทั้งแบบมีฝาปิดและไม่มีฝาปิด ซึ่งแบบมีฝาปิดมีทั้งแบบบานสวิง, แบบ Soft Close อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น กระปุกสำลี, กล่องใส่เครื่องมือแพทย์, ถาดหลุมทำแผล, ชามรูปไต, กาลิพอท, ถาดนับยา, ปากคีบ ฯลฯ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการรักษาและการวินิจฉัยโรค ซึ่งอุปกรณ์ดังกล่าวผลิตจากสแตนเลส ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรค แข็งแรง ทนทาน และง่ายในการทำความสะอาด โดยอุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่อใช้งานแล้วมักนำไปทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคจึงจะนำกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง สแตนเลสถึงจะเป็นวัสดุที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือในโรงพยาบาลแต่ทุกอุปกรณ์ก็ต้องมีมาตรฐานเพื่อเป็นการการันตีคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน ส่วนใหญ่มาตรฐานที่ใช้ในการรับรองอุปกรณ์และเครื่องมือโรงพยาบาลจะมี มอก., ISO เช่น รถเข็นโรงพยาบาลที่ใช้เพื่อเคลื่อนย้ายผู้ป่วยก็มีโอกาสที่ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อโรคได้หากมีการปนเปื้อน รถเข็นโรงพยาบาลจึงมีมาตรฐานมอก. 702-2551 เพื่อให้ได้รถเข็นโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานทั้งวัสดุและฟังก์ชันการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์จะมีมาตรฐานระบบจัดการคุณภาพระดับสากล (QMS) สำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือมาตรฐาน ISO 13485:2016 เพื่อพัฒนาระบบบริหารคุณภาพ สำหรับองค์กรที่เกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ การออกแบบ การผลิต การขาย การติดตั้ง และการบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผลิตเครื่องมือแพทย์ที่มีคุณภาพ และปลอดภัยกับผู้ใช้งานมากที่สุด Jestore by Jenbunjerd ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้ในโรงพยาบาล เช่น รถเข็นโรงพยาบาล, รถเข็นฉีดยา, รถเข็นทำแผล งานด้านบริการทางการแพทย์ เช่น รถเข็นเก็บจาน, รถเข็นอาหาร, รถเข็นผ้า รวมไปถึงอุปกรณ์ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น กระปุกสำลี, กล่องใส่เครื่องมือแพทย์, ถาดนับยา ที่มีมาตรฐาน มีความแข็งแรงและปลอดภัยในการใช้งาน นอกจากนี้ยังรับสั่งทำรถเข็นตามแบบที่สามารถระบุความต้องการเพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้มากที่สุด พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำและบริการหลังการขายที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพสูงสุด สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มาตรฐานความปลอดภัยในอุปกรณ์เซฟตี้ที่ควรมี

มาตรฐานความปลอดภัยในอุปกรณ์เซฟตี้ที่ควรมี มาตรฐานของหมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้ ช่วยให้ห่างไกลจากอันตราย อุปกรณ์เซฟตี้หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล (PPE) เป็นอุปกรณ์ที่ป้องกันอันตรายหรือลดอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นสิ่งของตกหล่น, การสัมผัสความเย็นและความร้อน, สารเคมี, กระแสไฟฟ้า, การเจาะทะลุ, การลื่น ซึ่งเป็นอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบจึงทำให้อุปกรณ์เซฟตี้มีหลายชนิดเพื่อให้สามารถป้องกันอันตรายทุกส่วนของร่างกายได้ เช่น หมวกนิรภัยป้องกันศีรษะจากการกระแทก รองเท้าเซฟตี้ป้องกันเท้าจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย เช่น น้ำเจิ่งนอง, มีสารเคมี หรือมีกระแสไฟฟ้า, การเจาะจากของแหลม ด้วยอุปกรณ์เซฟตี้ต้องเจอกับสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่ออันตรายจึงต้องมีมาตรฐานเพื่อคอยควบคุมดูแลให้เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เพราะหากไม่มีมาตรฐานอาจส่งผลให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ที่สวมใส่ได้ มาตรฐานอุปกรณ์เซฟตี้ที่ใช้ในประเทศไทยมีทั้งหมด 9 มาตรฐาน มาตรฐานทั้ง 9 เป็นมาตรฐานที่มีการก่อตั้งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยที่มีจุดประสงค์ และวิธีการที่เหมือนและมีความแตกต่างกันแต่มีความสอดคล้องกับกฎหมายไทย โดยมาตรฐานความปลอดภัยทั้ง 9 มีดังนี้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีสัญลักษณ์คือ มอก.หรือ TIS มาตรฐานสถาบันความปลอดภัยและอนามัยในการทำงานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (The national Institute for Occupational Safety and Health) สัญลักษณ์คือ NIOSH มาตรฐานขององค์การมาตรฐานสากล (International Standardization and Organization) สัญลักษณ์คือ ISO มาตรฐานสมาคมป้องกันอัคคีภัยแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Fire Protection Association) สัญลักษณ์คือ NFPA มาตรฐานสถาบันมาตรฐานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (American National Standards Institute) สัญลักษณ์คือ ANSI มาตรฐานสหภาพยุโรป (European Standards)มีสัญลักษณ์คือ EN หรือ CE มาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น (Japanese Industrial Standards) สัญลักษณ์คือ JIS มาตรฐานประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ (Australia Standards/New Zealand Standards) สัญลักษณ์คือ AS/NZS มาตรฐานสำนักงานบริหารความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ กรมแรงงาน ประเทศสหรัฐอเมริกา (Occupational Safety and Health Administration) สัญลักษณ์คือ OSHA มาตรฐานของหมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้ สัญลักษณ์ความปลอดภัยของอุตสาหกรรม มาตรฐานหมวกนิรภัย หมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันศีรษะจากการโดนของแข็งกระแทก การเจาะ และกระแสไฟฟ้า ซึ่งหมวกนิรภัยผลิตจากพลาสติกแข็ง โลหะ หรือไฟเบอร์กลาส จะมีสายรัดศีรษะและคางที่สามารถปรับขนาดให้เหมาะสมกับขนาดของศีรษะได้เพื่อให้แน่นหนาสำหรับการป้องกัน นอกจากนั้นหมวกนิรภัยยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมได้ เช่น กระบังหน้า, ที่ปิดหู เพื่อครอบคลุมความปลอดภัยในการใช้งานให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรฐานของหมวกนิรภัยมีทั้งหมด 5 มาตรฐานด้วยกันคือ Osha Standard, ANSI/Isea Z89.1 standard, En Standard, CSA Z94.1 Standard และ มาตรฐาน มอก. ขอยกตัวอย่างรายละเอียดของ มาตรฐานหมวกนิรภัยของ ANSI โดยมีรายละเอียดดังนี้หมวกนิรภัยตามมาตรฐาน ANSI Standard Z89.1-2003 มาตรฐาน ANSI Standard Z89.1-2003 มีการกำหนดประเภทของหมวกนิรภัยและระดับของหมวกนิรภัยเพื่อให้สามารถทำการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับประเภทของงาน โดยการทดสอบดังกล่าวเป็นการทดสอบขั้นพื้นฐานที่ใช้ทดสอบความแข็งแรงและทนทานในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงแต่ไม่สามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์ ประเภทของหมวกนิรภัย ตามมาตรฐาน ANSI Z89.1-2003 ได้แบ่งหมวกนิรภัยตามลักษณะของการป้องกันซึ่งมี 2 รูปแบบคือ ป้องกันกระแทกและป้องกันไฟฟ้า ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ หมวกนิรภัยประเภทที่ 1 ที่ลดการกันกระแทกจากด้านบนแต่ไม่สามารถกันการกระแทกจากด้านข้าง หมวกนิรภัยประเภทที่ 2 ที่ลดการกันกระแทกทั้งด้านบนและด้านข้าง หมวกนิรภัย ประเภท E ย่อมาจาก Electrical หมวกนิรภัยประเภทนี้ป้องกันไฟฟ้าได้ดี โดยจะต้องผ่านการทดสอบการป้องกันไฟฟ้าที่ 20,000 โวลต์ หมวกนิรภัย ประเภท G ย่อมาจาก General หมวกนิรภัยประเภทนี้จะต้องผ่านการทดสอบการป้องกันไฟฟ้าที่ 2,200 โวลต์ หมวกนิรภัยประเภทที่ C ย่อมาจาก Conductive หมวกนิรภัยประเภทนี้ไม่สามารถป้องกันไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบการป้องกันไฟฟ้า การทดสอบประสิทธิภาพหมวกนิรภัยของมาตรฐาน ANSI Z89.2003 การป้องกันการกระแทก ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 ซึ่งจะมีการสวมใส่จริงและทดสอบหมวกนิรภัยในสภาพอากาศเย็น 12 ประเภทและสภาพอากาศร้อน 12 ประเภท เพื่อทดสอบการกระแทกของหมวกนิรภัยในสภาพอากาศที่แตกต่างกันที่ความเร็ว ณ จุดกระทบ 5.5 เมตร/วินาที โดยวัตถุที่ใช้ในการทดสอบที่ตกกระทบควรมีน้ำหนัก 3.6 กิโลกรัม ซึ่งค่าการทดสอบและค่าเฉลี่ยจากการทดสอบทั้ง 24 สภาพอากาศจะต้องมีการบันทึก และความเร็วการตกกระทบของวัตถุค่าเฉลี่ยของแรงที่ส่งผ่านหมวกนิรภัยไม่ควรเกิน 3,780 นิวตัน การเจาะทะลุ ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 โดยการทดสอบจะมีการสวมใส่จริงและวัตถุที่ใช้ในการทดสอบการเจาะจะต้องมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม โดยการพุ่งมาของวัตถุต้องพุ่งมาในบริเวณเส้นรอบวงรัศมีไม่เกิน 75 mm (3.0 นิ้ว) จากกึ่งกลางของหมวกนิรภัยและความเร็วที่เกิดจากการตกจากที่สูงจะต้องมีความเร็ว ณ จุดกระทบ 7 เมตร/วินาที ซึ่งหมวกนิรภัยที่มีประสิทธิภาพวัตถุที่มาเจาะไม่ควรติดกับเนื้อของหมวกนิรภัย การป้องกันไฟ ใช้ทดสอบหมวกนิรภัยประเภทที่ 1 และ 2 โดยมีการสวมใส่จริงและพ่นไฟที่หมวกนิรภัยเป็นเวลา 5 วินาทีที่อุณหภูมิ 800-900 องศาเซลเซียส ซึ่งหลังการทดสอบบริเวณด้านนอกของหมวกนิรภัยไม่ควรมีร่องรอยของการไหม้ การป้องกันไฟฟ้า ใช้ทดสอบทั้งหมวกนิรภัยประเภทที่ 1, ประเภท 2, ประเภท E และ G โดยจะมีการทดสอบการป้องกันการกระแทกก่อนแล้วจึงจะทดสอบการป้องกันการรั่วของไฟฟ้าโดยประเภท E ทดสอบกับไฟฟ้าที่ 20,000 โวลต์ เป็นเวลา 3 นาทีที่ 9 มิลลิแอมป์และทดสอบการป้องกันการไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าที่ 30,000 โวลต์ หากมีประสิทธิภาพจะต้องไม่มีการรั่วและการเกิดรอยไหม้ หมวกนิรภัยป้องกันไฟฟ้าประเภท G จะต้องผ่านการทดสอบกับไฟฟ้าที่ 2,200 โวลต์ เป็นเวลา 1 นาทีที่ 3 มิลลิแอมป์ นอกจากนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิภาพของหมวกนิรภัยอีก 3 การทดสอบ คือ การดูดซับพลังงานการกระแทก, การเจาะทะลุนอกเหนือจากศูนย์กลางหมวก และการคืนตัวของรองในหมวก ซึ่งใช้ทดสอบกับหมวกนิรภัยประเภทที่ 2 เท่านั้น และหมวกนิรภัยที่ผ่านการตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยจะต้องระบุเครื่องหมายมาตรฐาน ANSI, ชื่อ, สัญลักษณ์ของผู้ผลิต, วันที่ผลิต และขนาดบนหมวกนิรภัยตามมาตรฐานที่กำหนด มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ รองเท้าเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันความปลอดภัยบริเวณเท้าจากการตกหล่น การเตะ การสะดุด ลื่นไถล หรือการเจาะจากสิ่งของหรือปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รองเท้านิรภัยมีทั้งแบบที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมทั่วไปและใช้ในงานเฉพาะด้าน เช่น งานที่เกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า มาตรฐานของรองเท้าเซฟตี้ต้องผ่านการทดสอบตามคุณสมบัติทั้ง 3 ข้อนี้ถึงจะผ่านมาตรฐานขั้นพื้นฐานได้ โดยมีการทดสอบดังนี้ 1. มีการป้องกันเท้าจากการกระแทก 2. การป้องกันเท้าจากการเจาะทะลุ 3. การป้องกันเท้าจากแรงกดทับ โดยอ้างอิงมาตรฐานการทดสอบตามมาตรฐาน ISO หรือมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ในแต่ละประเทศ มีกฎหมายและกฎระเบียบที่แตกต่างกันออกไป จึงส่งผลให้รองเท้าเซฟตี้ที่ผลิตแต่ละประเทศมีความแตกต่างด้านคุณสมบัติที่เพิ่มเติม ซึ่งมาตรฐานของรองเท้าเซฟตี้มีทั้งหมด 4 มาตรฐานด้วยกันคือ EN หรือ EN ISO, JIS, ASTM และ มาตรฐาน มอก. ขอยกตัวอย่างรายละเอียดของมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ตามมาตรฐานยุโรป EN ISO โดยมีรายละเอียดดังนี้ รองเท้าเซฟตี้มาตรฐาน EN ISO 20345: 2011 เป็นมาตรฐานที่ใช้ในสหภาพยุโรปมีการทดสอบอย่างเข้มงวดและมีข้อกำหนดคุณสมบัติที่แบ่งตามประเภทของรองเท้าเซฟตี้ โดยมีคุณสมบัติมาตรฐานพื้นฐานดังนี้ หัวของรองเท้าเซฟตี้ที่เป็นหัวเหล็ก ต้องสามารถต้านการกระแทกได้ 200 จูล วัสดุเสริมพื้นรองเท้า แผ่นรองพื้นระหว่างชั้นนอกและชั้นในสามารถทนแรงทะลุได้ 1,100 นิวตัน พื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติทนทานต่อน้ำมันและสารเคมี พื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติทนทานต่อความร้อนได้ 160 °C, 360 °C พื้นรองเท้าชั้นนอกต้องมีคุณสมบัติในการกันลื่น รองเท้าเซฟตี้ที่ใช้กับงานไฟฟ้าต้องป้องกันไฟฟ้าสถิตได้ รองเท้าเซฟตี้ที่ทำจากหนัง หนังรองเท้าต้องสามารถระบายอากาศได้ นอกจากนี้รองเท้าเซฟตี้หัวเหล็กมาตรฐานยุโรป EN ISO 20345 ที่สามารถต้านทานแรงกระแทก 200 จูล เป็นระดับการป้องกันที่สูงสุด มีการแบ่งประเภทแยกย่อยเป็น Class I และ Class II ซึ่งในแต่ละ Class จะมีสัญลักษณ์และคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้ ประเภท Class I เป็นรองเท้าเซฟตี้ที่ทำจากหนังและวัสดุอื่นที่ไม่ใช่ยางธรรมชาติหรือพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีด้วยกัน 5 ชนิด 1.1 SB รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล 1.2 S1 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นสามารถต้านทานไฟฟ้าสถิตได้ ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ และหัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล 1.3 S1P รองเท้าเซฟตี้มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นสามารถต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก มีชั้นตรงกลางของพื้นต้านทานการแทงทะลุ หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล 1.4 S2 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก กันน้ำได้ และหัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล 1.5 S3 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน พื้นและบริเวณส้นต้านทานไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ กันน้ำได้ มีชั้นตรงกลางของพื้นต้านทานการแทงทะลุ หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล พื้นรองเท้าด้านนอกแบบมีปุ่ม ประเภท Class II รองเท้าเซฟตี้ผลิตจากยางหรือพอลิเมอร์สังเคราะห์ มีด้วยกัน 3 ชนิด 2.1 SB รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทกได้ 200 จูล และกันน้ำได้ 2.2 S4 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล ป้องกันไฟฟ้าสถิต และพื้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทกได้ 2.3 S5 รองเท้าเซฟตี้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของมาตรฐาน หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล มีชั้นตรงกลางของพื้นรองเท้าต้านทานการเจาะทะลุ ป้องกันไฟฟ้าสถิต ส้นรองเท้าดูดซับแรงกระแทก กันน้ำ และพื้นรองเท้าด้านนอกแบบมีปุ่ม ทั้งนี้มาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ EN ISO 20345 มีข้อบังคับให้ผู้ผลิตเพิ่มตัวอักษรระบุวัตถุประสงค์การใช้งานหรือสภาพแวดล้อมในการใช้งานรองเท้าเซฟตี้เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้ถูกต้องและปลอดภัย เช่น สัญลักษณ์ SB, S1 และหากรองเท้าเซฟตี้มีคุณสมบัติพิเศษเพื่อรองรับการใช้งานที่เฉพาะมากยิ่งขึ้นจะมีสัญลักษณ์เพิ่มเติมด้านท้ายโดยมีสัญลักษณ์และความหมายดังนี้ P พื้นรองเท้าเสริมเหล็กป้องกันการเจาะทะลุ 1,100 นิวตัน C รองเท้าสามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตแบบตัวนำได้ A รองเท้าสามารถป้องกันไฟฟ้าสถิตได้ HI รองเท้ามีฉนวนป้องกันความร้อน CI รองเท้ามีฉนวนป้องกันความเย็น E พื้นรองเท้าสามารถช่วยดูดซับแรงกระแทกส้นเท้าได้ 20 จูล WRU ส่วนบนของรองเท้าป้องกันน้ำซึมเข้ารองเท้าได้ HRO พื้นรองเท้าทนต่อความร้อน 300 องศาเซลเซียส นาน 1 นาที ORO พื้นรองเท้าป้องกันน้ำมันได้ การเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานจะช่วยป้องกันอันตรายที่ไม่ร้ายแรงและช่วยลดความรุนแรงของอุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้ ทั้งนี้มาตรฐานอุปกรณ์เซฟตี้มีความแตกต่างกันตามกฎหมายหรือข้อบังคับของแต่ละประเทศที่ผลิต อุปกรณ์เซฟตี้อย่างหมวกนิรภัยและรองเท้าเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ที่ในทุกอุตสาหกรรมจะต้องมีจัดเตรียมไว้สำหรับพนักงานเพื่อสร้างปลอดภัยในการปฏิบัติงานและเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ที่นิยมในการใช้งานเพราะใช้ป้องกันส่วนของร่างกายที่สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและนำไปสู่อันตรายที่ร้ายแรงได้ Jenstore by Jenbunjerd ศูนย์รวมเครื่องมือและอุปกรณ์ความปลอดภัย หมวกนิรภัย, รองเท้าเซฟตี้, ชุดป้องกันสารเคมี, หน้ากากกันสารเคมี, แว่นตานิรภัย, เข็มขัดกันตกเซฟตี้, ถุงมือกันไฟฟ้า ฯลฯ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานจึงปลอดภัยในการใช้งาน พร้อมยินดีให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานและรับจัดหาสินค้าให้ตรงตามความต้องการ นอกจากนั้นยังมีบริการหลังการขายและการรับประกันคุณภาพสินค้าอีกด้วย สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
กรวยจราจรมีกี่แบบ เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้ปลอดภัย

กรวยจราจรมีกี่แบบ เลือกอย่างไรให้ใช้งานได้ปลอดภัย เลือกใช้กรวยจราจรให้ถูกประเภทช่วยยกระดับความปลอดภัย หลายคนต้องคุ้นเคยกับวัตถุที่เป็นทรงกรวยสีส้มที่มักตั้งอยู่บนถนนเป็นสัญลักษณ์ในการเตือนให้ระวังหากเข้าใกล้บริเวณดังกล่าว กรวยสีส้มที่ว่านี้เรียกว่า “กรวยจราจร” เป็นอุปกรณ์จราจรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายไม่ใช่เฉพาะในอาชีพตำรวจเท่านั้น อาคาร สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็สามารถนำกรวยจราจรไปใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคารเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเตือนภัยให้ระวังด้วยเช่นเดียวกัน หรือจะใช้ในการกำหนดขอบเขตของพื้นที่ เช่น มีอุบัติเหตุ, มีการซ่อมแซมถนน, เขตการก่อสร้าง หรือแบ่งเส้นทางการจราจร เป็นต้น มาทำความรู้จักกรวยจราจร อุปกรณ์ที่ช่วยสร้างความปลอดภัย กรวยจราจร มีลักษณะเป็นทรงกรวยสีส้มและมีสีขาวคาดอยู่บนกรวยที่สามารถสะท้อนแสงได้เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางคืน ทำให้ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนหรือผู้ที่ขับรถในอาคารจอดรถหรือบริเวณรอบอาคารมองเห็นได้ จะมีความสูงมีตั้งแต่ 50-100 เซนติเมตร ซึ่งกรวยจราจรมีด้วยกัน 4 ประเภทแบ่งตามวัสดุพลาสติกที่ใช้ในการผลิต ประเภทของกรวยจราจร มีด้วยกัน 4 ประเภท กรวยจราจรที่ผลิตจากพลาสติก EVA เป็นประเภทของกรวยจราจรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพราะมีราคาที่ถูกและมีความยืดหยุ่นที่ดีจึงไม่แตกหักเมื่อโดนรถยนต์ทับหรือชนสามารถคืนได้รูปแบบเดิม ทนความร้อน ความชื้น และการกัดกร่อนของสารเคมี มีคาดแถบสะท้อนแสงบนกรวยเพื่อให้สามารถมองเห็นตอนกลางคืนได้ชัดเจน ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้งาน 4 ระดับ คือ 30, 50, 70 และ 80 เซนติเมตร นอกจากสีส้มแล้วกรวยจราจรประเภทนี้ยังมีสีให้เลือกใช้งานอีกมากมาย เช่น สีฟ้า สีเขียว สีม่วง สีขาว หรือสีชมพู สามารถสกรีนโลโก้หรือแบรนด์ได้ และ EVA ยังเป็นวัสดุที่สามารถย่อยสลายโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมถึงแม้จะถูกทิ้งหรือเผา กรวยจราจรชนิดนี้เหมาะทั้งการใช้งานบนท้องถนน ภายในและภายนอกอาคาร กรวยจราจรที่ผลิตจากพลาสติก PVC เป็นประเภทของกรวยจราจรที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด สามารถคืนรูปได้อย่างรวดเร็ว ผลิตจากเม็ดพลาสติก PVC ชนิดพอลิไวนิลคลอไรด์ เนื้อของกรวยจราจรจึงมีลักษณะขุ่นทึบแต่ก็ให้สีสันที่ชัดเจนได้ทุกสี เป็นฉนวนกันไฟฟ้าได้ ไม่ติดไฟ เป็นของแข็งที่คงรูปแต่มีความเหนียวและอ่อนนุ่ม จึงไม่เสียรูปจากการโดนรถยนต์ทับ ทนทานต่อแรงกระแทก, สภาพอากาศ และความร้อน ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้ทั้งหมด 4 ระดับคือ 30, 45, 70 และ 90 เซนติเมตร นอกจากนี้กรวยจราจร PVC ยังมีชนิดที่มีฐานทำให้กรวยจราจรชนิดนี้มีน้ำหนักทำให้เกิดความสมดุลในการทรงตัว และไม่เกิดการพลิกคว่ำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนที่อาจทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ด้วยคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้จึงทำให้กรวยจราจร PVC มีราคาที่สูงกว่ากรวยจราจรประเภทอื่น ๆ กรวยจราจรที่ผลิตจาก PE กรวยชนิดนี้มีฐานจึงทำให้ตัวกรวยไม่ล้มง่าย มีความเหนียว ทนทานต่อน้ำ ความชื้น กรด ด่างได้ดี มีน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นได้สูง เป็นฉนวนไฟฟ้า ไม่สามารถทนความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมาก ๆ ได้ แต่ทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็นจัดได้ดี นิยมใช้ในสถานที่ที่มีลมพัดแรง หรือที่มีรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ซึ่งมีความสูงให้เลือกใช้งาน 3 ระดับ 50, 75 และ 100 เซนติเมตร และเนื่องจากมีความสูงถึง 100 เซนติเมตรให้เลือกใช้จึงทำให้สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและยังมีแถบคาดสีสะท้อนแสงจึงยิ่งทำให้มองเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น กรวยจราจรแบบพับได้ เป็นกรวยจราจรที่สะดวกในการพกพาและประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ ฐานของกรวยจราจรแบบพับได้จะมีแม่เหล็กเพื่อให้สามารถวางบนพื้น หลังคารถ หรือกระโปรงรถเพื่อไม่ให้หลุดหรือล้ม มีคาดแถบสีสะท้อนแสงและเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย ติดไฟกระพริบแบบเสียบหัวเพื่อให้เป็นจุดสังเกตได้มากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางด้วยการขับรถยนต์บ่อย ๆ เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถเสีย กรวยจราจรแบบพับได้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งกลางวันและกลางคืน มีความสูงให้เลือกใช้งานอยู่ 3 ระดับคือ 30, 50, และ 70 เซนติเมตร กรวยจราจรแต่ละประเภทมีจุดประสงค์ในการใช้งานที่เหมือนกันแต่การเลือกใช้งานต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและลักษณะในการใช้งาน ในระดับสากลกรวยจราจรไม่ได้มีแค่สีส้มเท่านั้นยังมีการใช้สีอื่นในการสื่อความหมายโดยมีตัวอย่างสีดังต่อไปนี้ สีแดง ในประเทศไทยจะหมายถึงสีส้มเป็นสัญลักษณ์เพื่อแจ้งเตือนอันตราย เหตุการณ์ฉุกเฉิน เพื่อต้องการให้ผู้ที่เห็นสัญลักษณ์หยุดหรือห้ามกระทำการดังกล่าว สีเหลือง เป็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนให้ระวังพื้นที่ดังกล่าวกำลังมีอันตรายเกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่คนนิยมใช้สีแดงหรือสีส้มมากกว่าสีเหลือง สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ตามหลักสากลเป็นสีสัญลักษณ์ของการบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตาม สีเขียว ตามหลักสากลเป็นสีสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความปลอดภัย, ทางออกฉุกเฉิน ประโยชน์ของกรวยจราจร ที่ช่วยลดปัญหาและอุบัติเหตุ สามารถใช้กำหนดอาณาเขตเพื่อป้องกันการเข้าพื้นที่ดังกล่าวได้ทำให้สามารถควบคุมดูแลพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ เช่น เขตพื้นที่ในการก่อสร้าง เป็นสัญลักษณ์ใช้ในการแจ้งเตือนอันตรายหรือให้ระวัง เช่น มีอุบัติเหตุ, มีสิ่งกีดขวางบนถนน, มีการซ่อมแซมถนน แบ่งหรือรวมเส้นจราจร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในท้องถนนหรือเพื่อกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ การจอดรถในอาคารหรือลานจอดรถ ใช้ในงานราชการ เช่น การตั้งด่านสกัดของตำรวจ การใช้งานกรวยจราจรอย่างถูกต้องและปลอดภัย กรวยจราจรเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยได้ ดังนั้นการใช้กรวยจราจรต้องระมัดระวังในการใช้งาน เพราะเพียงแค่วางกรวยจราจรเพื่อแบ่งช่องให้รถจอดผิดก็สามารถกีดขวางการจราจรซึ่งถือว่าผิดกฎหมายได้ โดยมีตัวอย่างหลักในการใช้กรวยจราจรดังนี้ กรณีรถเสีย ให้จอดรถให้ชิดข้างทางมากที่สุดเปิดไฟฉุกเฉินแล้วจึงนำกรวยจราจรว่างห่างจากท้ายรถไม่ควรน้อยกว่า 50 เมตร เพื่อให้รถที่มาด้านหลังสามารถมองเห็นได้จะได้ชะลอความเร็วของรถหรือเบี่ยงหลบได้ทัน กรณีฉุกเฉิน เช่น อาจจัดสิ่งของที่อยู่ท้ายรถหรือซ่อมแซมรถที่เสีย ที่ต้องมีการจอดบริเวณไหล่ทาง ควรจอดให้ชิดไหล่ทางและควรนำกรวยจราจรมาตั้งระหว่างกลางของรถ 1 กรวย และด้านหน้าและด้านหลังของรถห่างกันประมาณกรวยละ 5-10 เมตร จำนวน 10-15 กรวย การกั้นเลนของถนน สามารถพบได้บ่อยบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน ฯลฯ เพื่อกั้นเลนถนนให้สามารถเข้า-ออกได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ควรตั้งเป็นแนวตรงและแต่ละกรวยจราจรควรห่างกันทุก 30 เมตร แต่หากสถานที่ดังกล่าวมีคนพลุกพล่านอาจกั้นถี่ขึ้นเป็นทุก 5-10 เมตรก็ได้ การวางกรวยจราจรตอนกลางคืน ควรวางกรวยจราจรในระยะก่อนถึงประมาณ 150 เมตรขึ้นไป โดยอาจใช้กรวยจราจรที่สามารถพับได้เนื่องจากติด LED หรือจะใช้กรวยจราจรประเภทอื่นก็ได้แต่ควรมีแถบคาดสะท้อนแสงเพื่อให้สังเกตได้ง่ายและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ กรวยจราจรเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยโดยเฉพาะบนท้องถนน ช่วยลดการเกิดอุบัติเพราะกรวยจราจรช่วยให้สามารถมองเห็นจุดอันตรายได้ในระยะไกล เป็นการเตือนให้ระวังในการขับรถ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจราจรหรือสร้างความสะดวกให้กับพื้นที่นั้น ๆ เช่น กั้นเลนเพื่อแบ่งช่องถนนในช่วงที่การจราจรติดขัด, การกั้นเลนในการสร้างตำแหน่งการจอดรถในอาคารหรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายอุปกรณ์จราจร เช่น กรวยจราจร, กรวยจราจรสะท้อนแสง, กรวยจราจรพร้อมฐานถ่วงน้ำหนัก ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง มีความทนทานต่อสภาพอากาศ สีสันสดใส มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ในราคาที่ย่อมเยา ด้วยการบริการจากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำพร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องมือช่างที่ต้องมีติดบ้านและวิธีการดูแลรักษา

เครื่องมือช่างที่ต้องมีติดบ้านและวิธีการดูแลรักษา เครื่องมือช่างอุปกรณ์ที่ช่วยให้งานช่างมีประสิทธิภาพในการซ่อมแซม การซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ภายในบ้านเป็นปัญหาที่พ่อบ้านหลายคนต้องพบเจอ หลายบ้านจึงต้องมีเครื่องมือช่างเป็นไอเทมประจำบ้านที่ช่วยให้งานซ่อมแซมเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากเครื่องมือช่างได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เป็นเครื่องมือที่ช่วยผ่อนแรงในการทำงาน มีความสะดวก รวดเร็ว และช่วยซ่อมแซมอุปกรณ์หรือเครื่องมือขั้นพื้นฐานให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เครื่องมือช่างส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องวัด ตัด ตอก ทุบ ไข จึงทำให้เครื่องมือช่างมีหลายชนิดเพื่อให้สามารถครอบคลุมในการใช้งาน เครื่องมือช่างชนิดไหนเป็นไอเทมที่ต้องมีติดบ้าน ค้อน เป็นเครื่องมือช่างประเภทงานตอกหรือทุบ มีส่วนประกอบอยู่ 2 ส่วน คือ ด้ามจับและหัวค้อน ด้ามจับทำจากไม้, เหล็ก, ไฟเบอร์กลาส และ TPR และหัวค้อนทำมาจากโลหะประเภทเหล็ก โดยหน้าค้อนจะเรียบใช้สำหรับตอกตะปู ส่วนหางจะมีลักษณะเป็นรูปตัววีใช้สำหรับดึงหรือถอนตะปู ค้อนมีหลายชนิดซึ่งมีการใช้งานที่แตกต่างกัน ชนิดของค้อนและลักษณะการใช้งาน 1.1 ค้อนหัวกลม ใช้ในงานโลหะและสามารถใช้ในการย้ำหมุดได้ 1.2 ค้อนช่างไฟฟ้าหรือค้อนเดินสายไฟ ค้อนชนิดนี้มีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับงานไฟฟ้า เช่น ใช้สำหรับงานตอกตะปูเดินสายไฟ 1.3 ค้อนไม้หรือค้อนพลาสติก ให้สำหรับทุบหรือตอกในงานเบา ๆ เช่น สังกะสี อลูมิเนียม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบุบหรือเกิดรอยขีดข่วน 1.4 ค้อนหงอน เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับทุบหรือตอกและเหมาะกับการถอนตะปูในงานไม้ 1.5 ค้อนยาง หัวค้อนผลิตจากยางพารามีคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นและนิ่มไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในผิวของวัสดุ ใช้สำหรับเคาะขึ้นรูปชิ้นงานที่มีเนื้ออ่อนหรือโลหะแผ่นเคลือบชนิดบาง นิยมใช้กับงานที่ต้องการความประณีต ไม่ยุบ หรือบุบ เช่น งานปูกระเบื้อง วิธีการดูแลและเก็บรักษา เมื่อใช้งานเสร็จแล้วควรต้องเก็บเข้าที่ในตู้เก็บเครื่องมือช่างหรือกล่องอะไหล่ช่างเพราะอาจเกิดอันตรายได้ ควรมีการตรวจสอบว่าด้ามค้อนและหัวค้อนต้องสวมแน่นตลอดเวลาและควรตรวจเช็กก่อนใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรทาน้ำมันหรือปล่อยให้มีน้ำมันบนด้ามค้อนเพราะอาจทำให้หลุดมือขณะใช้งาน หลังการใช้งานควรทำความสะอาดเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น ไขควง เป็นเครื่องมือช่างประเภทงานขันและคลายนอตหรือสกรู ลักษณะของไขควงจะมีด้ามที่ทำจากพลาสติก, ไม้, โลหะ จะมีก้านโลหะอยู่แกนกลางด้ามจับซึ่งจะใช้สำหรับส่งแรงบิด และปลายของก้านโลหะจะมีลักษณะที่แตกต่างออกไป เช่น ปลายแฉก, ปลายแบน มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ซึ่งปลายของก้านโลหะจะใช้สอดเข้าไปที่ร่องของนอตหรือสกรูเพื่อคลายและขันออกจากเหล็กหรือไม้ ชนิดของไขควงและลักษณะการใช้งาน 2.1 ไขควงปากแบน ใช้ขันและคลายนอตหรือสกรูที่มีร่องผ่าที่เส้นผ่านศูนย์กลางของหัว 2.2 ไขควงแฉก ใช้ขันและคลายนอตหรือสกรูที่มีหัวเป็นกากบาทนิยมใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 2.3 ไขควงออฟเซต ไขควงมีลักษณะเป็นแท่งโลหะปากไขควงดัดโค้งและหันปากไปในตำแหน่งตามกันหรือเยื้องกันก็ได้ เหมาะใช้ขันตามซอกตามมุมต่าง ๆ ที่ไขควงธรรมดาเข้าไปขันไม่ได้ 2.4 ไขควงปากบล็อก เป็นไขควงขันสกรูหกเหลี่ยม ไขควงชนิดนี้มีลักษณะปากที่เป็นบล็อกหกเหลี่ยม ใช้สำหรับสกรูที่มีร่องเป็นหกเหลี่ยม 2.5 ไขควงหกแฉก หรือไขควงแฉกดาว นิยมใช้ในงานเกี่ยวกับด้านยานยนต์หกแฉก งานเกี่ยว กับการซ่อมโทรศัพท์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน วิธีการดูแลและเก็บรักษา ใช้ไขควงให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและร่องของนอตหรือสกรู หลังใช้งานควรเช็ดทำความสะอาด แล้วเก็บใส่กล่องเครื่องมือช่างเพื่อช่วยให้ไขควงมีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น ประแจ เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับยึด ขัน หรือคลายสกรู นอต สลักเกลียวเหมือนไขควง แต่มีลักษณะที่แตกต่างจากไขควง ประแจมีลักษณะเป็นด้ามยาวส่วนหัวมีรูปทรงพอดีกับอุปกรณ์เพื่อใช้ล็อก ขัน หรือคลายอุปกรณ์ ประแจผลิตจากเหล็กกล้าจึงมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กทั่วไปมีรูปร่างและขนาดแตกต่างกันเพื่อรองรับกับขนาดของนอตและสกรู ชนิดของประแจและลักษณะการใช้งาน 3.1 ประแจปากตาย ปลายทั้งสองด้านจะเป็นรูปตัวยูซึ่งขนาดของช่องว่างไม่เท่ากัน ใช้ในการขันหรือคลายนอตแต่อย่าขันแน่นมากเกินไปเพราะจะทำให้สลักเกลียวเสียหายได้ 3.2 ประแจแหวน ปลายทั้งสองด้านมีลักษณะเป็นวงแหวนใช้ครอบขันและคลาย ภายในรอบวงแหวนจะมีลักษณะเป็นแฉกทั้งหมด 12 แฉกสามารถขันและคลายในพื้นที่แคบ ๆ ได้ดีกว่าประแจชนิดอื่น ๆ 3.3 ประแจบล็อก ลักษณะคล้ายกับประแจแหวนแต่สามารถเปลี่ยนหัวได้ มีรูปร่าง ขนาด และความยาวที่แตกต่างกัน สามารถงอหัวได้ถึง 90 องศา นิยมใช้ในงานถอดประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 3.4 ประแจเลื่อนหรือประแจวงเดือน สามารถปรับความกว้างของปากประแจได้และมีหลายขนาด ปากข้างหนึ่งตายแต่ปากอีกข้างหนึ่งสามารถปรับขนาดได้ เป็นอุปกรณ์ที่นิยมมีไว้ติดบ้านเพราะสามารถทำงานช่างได้หลายประเภท เช่นงานประปาหรือก๊อกน้ำ วิธีการดูแลและเก็บรักษา ควรใช้ประแจให้ถูกต้องกับลักษณะงานและหลีกเลี่ยงการใช้ประแจที่มีขนาดใหญ่กว่าสกรูหรือนอต เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องมือและความปลอดภัยของผู้ที่ใช้งาน หลังการใช้งานควรทำความสะอาดและเก็บไว้ในกล่องเครื่องมือช่างทุกครั้ง ตลับเมตร เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้สำหรับวัดหาระยะของวัสดุหรือชิ้นงาน เช่น ความกว้าง ความยาว ความหนา ตลับเมตรมีความสะดวกในการพกพาเพราะสายวัดสามารถถูกเก็บอยู่ในตลับอย่างมิดชิด มีขนาดเล็ก ส่วนหัวของสายวัดจะมีตะขอเกี่ยวโดยใช้เป็นที่เกาะยึดกับขอบของชิ้นงานที่ต้องการวัดและเพื่อความสะดวกในการดึงสายวัดออกมาจากตลับเมตร ตลับเมตรสามารถใช้วัดได้ทั้งเป็นนิ้วและเซนติเมตร ในตลับเมตรที่เป็นโลหะจะมีสปริงอยู่ภายในเพื่อให้สายวัดถูกเก็บและดึงออกมาใช้งานได้อย่างสะดวก ความยาวของสายวัดมีขนาดตั้งแต่ 100 เซนติเมตรขึ้นไป วิธีการดูแลและเก็บรักษา การจัดเก็บสายวัดห้ามปล่อยสายวัดแรง ๆ เพื่อเก็บเข้าไปในตลับเพราะจะทำให้ตะขอสายวัดหลุดและสปริงด้านในอาจชำรุดได้ ห้ามใช้ตลับเมตรวัดแทนไม้บรรทัดเพราะอาจเกิดคลาดเคลื่อนได้และเป็นอันตรายต่อผู้ที่ใช้งาน ควรเช็ดและทำความสะอาดทุกครั้งหลังการใช้งานและควรเก็บในตู้เก็บเครื่องมือช่าง เพื่อรักษาคุณภาพของตลับเมตรและความสะดวกในการหยิบใช้งาน เลื่อย เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้ในการตัดชิ้นงานให้แยกออกจากกันหรือตัดแยกเป็นชิ้น ๆ เช่น ไม้หรือเหล็ก ซึ่งเลื่อยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามวัสดุที่ใช้ในการตัด ประเภทของเลื่อยและลักษณะการใช้งาน 5.1 เลื่อยตัดเหล็ก ลักษณะของเลื่อยคล้ายกับเลื่อยฉลุ แต่คันเลื่อยไม่โค้ง ใบเลื่อยเป็นแถบยาว ฟันของใบเลื่อยจะมีความห่าง ปลายทั้งสองข้างติดกับคันเลื่อย ความยาวตามมาตรฐาน 12 นิ้ว สามารถถอดเปลี่ยนใบเลื่อยได้ นอกจากใช้ในการตัดเหล็กแล้วยังตัดท่อ PVC ได้ด้วยเช่นกัน 5.2 เลื่อยตัดไม้ ความโดดเด่นของเลื่อยชนิดนี้คือฟันของใบเลื่อยจะมีความถี่มากกว่าเลื่อยตัดเหล็ก ในหนึ่งนิ้วจะมีใบเลื่อยประมาณ 8-12 ซี่ การตัดของเลื่อยตัดไม้จะเลื่อยตามความยาวและตามแนวขวางของเสี้ยนไม้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ชนิด5.1.1 เลื่อยลัดดา มีอยู่ 2 ชนิด คือเลื่อยโกรกและเลื่อยตัด เลื่อยโกรกจะมีฟัน 6 ฟันต่อนิ้ว ตัดตามความยาวของเสี้ยนไม้ ส่วนเลื่อยตัดมีจำนวนฟัน 8-12 ซี่ต่อนิ้วใช้ตัดตามขวางของเสี้ยนไม้การตัดทั้งสองแบบเพื่อต้องการให้เกิดรอยตัดที่เรียบที่สุด 5.1.2 เลื่อยฉลุ มีโครงเป็นเหล็ก เป็นเครื่องมือที่ใช้เลื่อยส่วนโค้งต่าง ๆ ของไม้ให้เป็นลวดลายวงกลม 5.1.3 เลื่อนคันธนู มีลักษณะคล้ายคันธนู เหมาะสำหรับใช้ตัดกิ่งไม้ ทั้งกิ่งไม้สดและกิ่งไม้แห้ง หรือตัดต้นไม้เป็นท่อน ๆ เพื่อการเคลื่อนย้ายสำหรับงานก่อสร้าง มีให้เลือกใช้หลายขนาด ตั้งแต่ 12 นิ้ว , 21 นิ้ว , 24 นิ้ว และ 30 นิ้ว 5.1.4 เลื่อยโค้งตัดกิ่งไม้ เลื่อยโค้งตัดกิ่งไม้ ใช้ตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดก่อไผ่ ฯลฯ มีลักษณะที่โดดเด่นคือ มีความโค้งของคมเลื่อยและฟันเลื่อย จึงทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว วิธีดูแลและเก็บรักษา หลีกเลี่ยงไม่ให้เลื่อยถูกน้ำหรือความชื้นเพราะจะทำให้เกิดสนิมได้ ควรจัดเก็บในกล่องเครื่องมือช่างหรือตู้เก็บเครื่องมือช่าง หลังจากใช้งานเลื่อยเสร็จควรถอดใบเลื่อยแยกจากด้ามจับและจัดเก็บแบบแยกและควรทำความสะอาด ทาน้ำมัน และตะไบตกแต่งเลื่อยให้คมอยู่เสมอ หากพบว่าชำรุดควรซ่อมแซมทันทีไม่ควรนำมาใช้งาน เครื่องมือช่างเป็นเครื่องมือที่ควรผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพและควรได้มาตรฐานเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด Jenstore by Jenbunjerd เป็นศูนย์รวมในการจัดจำหน่ายเครื่องมือช่าง จากแบรนด์ชั้นนำที่มีคุณภาพ มีความทนทาน ที่ได้รับมาตรฐานระดับโลกเป็นการรันตีถึงคุณภาพและรับรองได้ว่าเป็นเครื่องมือช่างของแท้ 100% นอกจากนี้ยังมีสินค้าเครื่องมือช่างให้เลือกมากกว่า 1,000 รายการ ท่านสามารถเลือกสินค้าได้ตรงใจง่าย ครบ จบ ในที่เดียวพร้อมทั้งมีบริการหลังการขายที่จะช่วยให้การใช้งานของท่านมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่นิยมใช้ในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม

รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ที่นิยมใช้ในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม รถยกถังน้ำมัน ความสะอาดและความปลอดภัยในการใช้งาน รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ใช้สำหรับยก-ย้ายและถ่ายเทน้ำมันออกจากถัง มีความสะดวกและรวดเร็วเพราะมีล้อเพื่อใช้ในการเคลื่อนย้าย มีอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับถังน้ำมันทำให้ง่ายต่อการถ่ายเท และปลอดภัยในการใช้งานด้วยมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการล็อก มีการใช้งานที่หลากหลายโดยสามารถยกถังน้ำมันขึ้นที่สูงได้ เช่น ยกถังน้ำมันขึ้นรถบรรทุกหรือเคลื่อนย้ายถังน้ำมันที่อยู่บนพาเลท และสามารถใช้ในพื้นที่ที่มีจำกัดที่ไม่สามารถเอียงถังน้ำมันเพื่อถ่ายเทน้ำมันได้ รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรสามารถใช้งานกับถังน้ำมันทั้งแบบถังเหล็ก, พลาสติก, สแตนเลส และไฟเบอร์กลาสได้ ข้อคำนึงในการเลือกใช้รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร ชนิดและขนาดของถังน้ำมัน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อต้องใช้รถยกถังน้ำมันเนื่องจากถังน้ำมันผลิตมาจากหลายวัสดุทั้งพลาสติก เหล็ก สแตนเลส และไฟเบอร์กลาส ซึ่งวัสดุบางชนิดมีขนาดและรูปแบบที่หลากหลายต้องเลือกใช้งานให้ถูกต้อง เช่น ถังน้ำมันเหล็กมักจะมีขนาดถังน้ำมัน 200 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางมาตรฐาน 584 mm สูง 876 mm แต่ถังน้ำมันพลาสติกอาจจะมีหลายขนาดแต่มีความจุของน้ำมันที่เท่ากัน ประเภทการยึดจับ รถยกถังน้ำมันมีการยึดจับถังน้ำมันอยู่ 2 รูปแบบ รถยกถังน้ำมันแบบรัดรอบถัง โดยอุปกรณ์ยึดจับจะรัดรอบถังบริเวณช่วงกลางของถังน้ำมัน โดยใช้ปล้องนูนรอบถังเป็นตัวควบคุมไม่ให้ถังเลื่อนสไลด์ ดังนั้นถังที่ใช้กับรถยกถังน้ำมันชนิดนี้ต้องมี รอยนูน และเส้นผ่าศูนย์กลางต้องมีขนาดใกล้กับมาตรฐานของอุปกรณ์ยึดจับถังน้ำมัน ซึ่งชนิดของถังน้ำมันที่มักใช้กับรถยกถังน้ำมันชนิดนี้ คือ ถังน้ำมันเหล็กหรือสแตนเลส รถยกถังน้ำมันแบบจับขอบปากถังน้ำมัน จะมีคีมหนีบที่จะใช้จับขอบถัง มีตัวประคองที่กลางถังและก้นถัง ซึ่งมีทั้งแบบใช้มือล็อกคลายและแบบกลไกอัตโนมัติสำหรับการหมุนเท น้ำหนักของถังน้ำมัน ควรใช้ยกถังน้ำมันที่มีน้ำหนักตามที่ระบุไว้เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ความสูงที่ต้องการยก รถยกถังน้ำมันสามารถยกถังน้ำมันขึ้นที่สูงได้ แต่ความสูงที่ยกได้ก็มีจำกัดดังนั้นก่อนใช้งานจึงควรศึกษาข้อมูลของรถยกถังน้ำมันให้ดีก่อนการใช้งาน วิธีการใช้งานรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรมีหลายประเภทซึ่งจะมีหลักในการใช้งานที่เหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างกันตามฟังก์ชันการใช้งานที่มีเพิ่มเติมขึ้นมา โดยหลักการการใช้งานรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรจะต้องเข็นรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรไปด้านหลังของถังน้ำมันที่ต้องการจะใช้และล็อกเบรกเท้าที่ล้อของรถยกถังน้ำมัน แล้วใช้คีมจับถังน้ำมันและล็อกเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดและเปิดวาล์วเพื่อปั๊้มไฮดรอลิกสำหรับยกถังน้ำมันซึ่งมีทั้งแบบเป็นคันโยกและแบบแป้นเหยียบ เมื่อได้ความสูงตามที่ต้องการก็สามารถเคลื่อนย้ายถังน้ำมันได้หรือจะถ่ายเทน้ำมันออกจากถังได้ โดยใช้มือผลักหรือใช้มือหมุนเกียร์ทดซึ่งมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียง เมื่อถึงตำแหน่งที่ต้องวางหรือเสร็จจากการใช้งานก็โยกคันโยกหรือเหยียบที่แป้นเหยียบเพื่อลดความสูงของถังน้ำมันให้ลงบนพื้นและปลดล็อกตัวล็อกของถังน้ำมันเพื่อจัดเก็บถังน้ำมันตามที่ต้องการ ประเภทของรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรแบบจับกลางถัง จะยก-ย้ายถังน้ำมันโดยการล็อกถังน้ำมันที่ตรงกลางของถังโดยตัวล็อดจะเป็นคีมขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มถังน้ำมันไว้และมีตัวล็อกเพื่อป้องกันการเลื่อนของตัวล็อก โดยหากต้องการถ่ายเทน้ำมันออกจากถังบางรุ่นของรถยกถังน้ำมันจะใช้มือผลักถังน้ำมันแต่บางรุ่นจะใช้มือหมุนเกียร์ทดซึ่งมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียงของถังสำหรับถ่ายเทน้ำมัน รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรแบบจับขอบปากถัง จะยก-ย้ายถังน้ำมันโดยการใช้คีมจับที่ปากถังและล็อก มีเหล็กรูปโค้งตามขนาดของถังน้ำมันและมีฐานเป็นเหล็กรูปทรงเหลี่ยมผืนผ้าใช้สอดใต้ถังเพื่อประคองถังน้ำมัน หากต้องการถ่ายเทน้ำมันจะใช้มือหมุนเกียร์ทดมีสลักล็อกเพื่อควบคุมการเอียงของถังสำหรับถ่ายเทน้ำมัน รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร แบบขากางได้ ใช้ในการยกถังน้ำมันที่วางอยู่บนพาเลทโดยสามารถกางขาของรถเข็นได้เพื่อให้คร่อมพาเลทและทำการยกถังน้ำมัน โดยสามารถปรับขาให้กางออก กว้างได้โดยการหมุนตัวล็อกและเมื่อได้ระดับที่ต้องการหมุนตัวล็อกเข้าที่เดิม รถยกถัง 200 ลิตร แบบเข้ามุมพาเลท มีความโดดเด่นที่รูปทรงของขาของรถยกถังน้ำมันมีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยมเป็นรูปทรงที่เข้ามุมได้พอดีเป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน รถยกถัง 200 ลิตร แบบลอดใต้พาเลท ขาและล้อหน้าของรถยกถังน้ำมันจะมีขนาดเล็กแต่มีความแข็งแรงเพราะถูกออกแบบมาสำหรับใช้สอดใต้พาเลทเพื่อเคลื่อนย้าย รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตร อุปกรณ์ทุ่นแรงในการยก-ย้าย ในคลังสินค้าหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการผลิต จำหน่าย หรือใช้งานน้ำมันในจำนวนมาก จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ในการยก-ย้ายถังน้ำมันที่เหมาะสมเพื่อป้องกันอันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ในการเคลื่อนย้าย รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรจึงมีความสำคัญทั้งในคลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม สำหรับในคลังสินค้าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการยก-ย้ายถังน้ำมันเพื่อการจัดเรียงหรือจัดเก็บถังน้ำมันให้เป็นระเบียบ โดยรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรสามารถยกสูงได้เพื่อให้ถังน้ำมันวางซ้อนกันได้หรือจะใช้เพื่อขนย้ายถังน้ำมันไปยังรถขนส่งเพื่อกระจายไปยังปลายทาง โดยสามารถยกได้ทั้งพาเลทโดยใช้รถยกถังน้ำมันแบบลอดใต้พาเลท ทำให้การขนย้ายและจัดเรียงถังน้ำมันมีความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น สำหรับในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องมีการใช้งานน้ำมันสำหรับเครื่องจักรในกระบวนการต่าง ๆ รถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรนอกจากจะใช้ในการยก-ย้ายถังน้ำมันแล้วยังใช้ในการถ่ายเทน้ำมันได้อีกด้วยจึงช่วยให้รวดเร็วและปลอดภัยในการทำงาน สามารถถ่ายเทน้ำมันได้จนหมดถังเพราะรถยกถังน้ำมัน 200 ลิตรบางรุ่นสามารถหมุนถังน้ำมันได้ถึง 360 องศาทำให้คุ้มค่าในการใช้งานJenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รถยกถังน้ำมันแบรนด์ JUMBO สำหรับยกถังน้ำมันเหล็ก 200 ลิตร ด้วยระบบไฮดรอลิกมือโยกหรือขาเหยียบ และหมุนถังน้ำมันเพื่อถ่ายเทน้ำมันด้วยการใช้มือหมุนเกียร์ทดสามารถหมุนถังน้ำมันได้ 300 องศา และ 360 องศาช่วยให้เทน้ำมันออกจากถังจนหมด นอกจากนี้ยังจำหน่ายรถเข็นถังน้ำมัน, ดอลลี่สำหรับถังน้ำมัน ซึ่งสินค้าทั้งหมดผลิตจากวัสดุคุณภาพและได้มาตรฐาน ยินดีให้คำแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญในเรื่องข้อมูลสินค้า วิธีการสั่งซื้อและจัดส่ง และบริการหลังการขายที่จะช่วยให้ท่านอุ่นใจเมื่อซื้อสินค้ากับ Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน

นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน นวัตกรรมรถยกไฟฟ้า, ลังพลาสติก, ถังขยะ เพิ่มประสิทธิภาพและช่วยลดมลพิษ วิกฤตของภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงซึ่งมีผลกระทบทั้งต่อการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจ ในภาคของอุตสาหกรรมก็ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจึงพยายามหาสาเหตุเพื่อแก้ปัญหาและลดความรุนแรงเพื่อให้วิกฤตนี้หายไป ก๊าซเรือนกระจกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนที่มีต้นตอจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ซึ่งรวมไปถึงกระบวนการต่าง ๆ ของอุตสาหกรรม หลายอุตสาหกรรมจึงค้นหาวิธีและเลือกใช้อุปกรณ์รวมไปถึงเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลดภาวะโลกร้อนแต่ก็ยังสามารถดำเนินกิจกรรมในกระบวนการต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การเลือกใช้พาเลทพลาสติกแทนพาเลทไม้จะช่วยให้การตัดต้นไม้น้อยลงซึ่งต้นไม้ถือได้ว่าเป็นแหล่งออกซิเจนของโลก และพาเลทพลาสติกยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ การเลือกใช้เครื่องมือที่ลดการเผาไหม้โดยใช้ระบบไฟฟ้าหรือแมนนวลมากขึ้น เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า จะช่วยลดการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากเครื่องยนต์ทำให้ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้ หรือการคัดแยกขยะทิ้งโดยทิ้งขยะลงในถังขยะให้ถูกประเภทจะช่วยให้ขยะถูกกำจัดได้อย่างถูกต้องและไม่ถูกหมักหมมจึงช่วยไม่ให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งนอกจากการเลือกใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว อุปกรณ์และเครื่องมือเหล่านี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเพิ่มศักยภาพการใช้งานและลดการก่อมลพิษเพื่อช่วยให้โลกกลับมาสู่จุดที่สมดุลอีกครั้ง 3 นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรม ช่วยเราช่วยโลก นวัตกรรมพลังงานสะอาด พลังงานสะอาด เป็นพลังงานที่ก่อให้เกิดมลภาวะน้อยที่สุดในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน นอกจากเครื่องจักรที่ทำให้เกิดการเผาไหม้แล้วยังมีเครื่องมือในการยก-ย้ายที่สามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงได้ จึงมีการใช้เทคโนโลยีเพื่อค้นหาพลังงานทดแทนและได้ค้นพบกับพลังงานไฟฟ้าที่มีแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ในการกักเก็บพลังงาน ซึ่งพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถใช้แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ เช่น รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าที่ช่วยลดการก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและยังดีต่อสุขภาพของพนักงานที่ไม่ต้องสูดเขม่าควันจากการเผาไหม้ ซึ่งรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าถึงแม้จะมีหน้าที่ในการยก-ย้ายเหมือนกันแต่รูปแบบในการใช้งานมีความแตกต่างกัน โดยรถยกไฟฟ้าจะใช้ในการยก-ย้ายสินค้าที่สามารถยกสินค้าเพื่อจัดเรียงหรือจัดเก็บสินค้าบนที่สูงได้ เช่น ชั้นวางสินค้า, รถขนส่งสินค้า หรือการเรียงซ้อนกันของสินค้าในแนวดิ่ง ส่วนรถลากจูงไฟฟ้าใช้ลากสินค้าที่มีจำนวนหรือน้ำหนักที่มากที่วางบนพาเลททำให้สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพแต่ไร้มลพิษนวัตกรรมรถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดโดยเฉพาะขุมพลังงานอย่างแบตเตอรี่ จึงทำให้รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้าในยุคปัจจุบันมีประสิทธิภาพในการยก-ย้ายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีพลังงานที่สูงในการยกสินค้าที่มีน้ำหนักมาก ๆ มีความคล่องตัวและรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายโดยเฉพาะในพื้นที่แคบ ๆ เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดเล็กจึงทำให้รถยกไฟฟ้าและรถลากจูงไฟฟ้ามีขนาดที่เล็กลงมาด้วย นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มรอบในการทำงานช่วยเพิ่มมูลค่าของธุรกิจ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจึงมีผลดีต่อโลกเป็นอย่างมาก นวัตกรรมพลาสติก เป็นนวัตกรรมที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้ามักจะผลิตจากพลาสติก เช่น กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติก อุปกรณ์ที่กล่าวมามีความสำคัญต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าป้องกันสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหาย และง่ายในการหยิบใช้งาน พาเลทพลาสติกเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรองรับสินค้าเพื่อเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้าซึ่งสามารถช่วยให้เคลื่อนย้ายสินค้าที่มีจำนวนและน้ำหนักที่มากได้พร้อม ๆ กันโดยที่ไม่เกิดความเสียหาย อุปกรณ์ที่ผลิตจากพลาสติกอย่าง กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติก จะมีคุณสมบัติที่ความแข็งแรง มีความทนทานต่อสารเคมี กรด ด่าง ความชื้น กันน้ำ กันฝุ่นและแมลงได้ดีซึ่งทั้งหมดเป็นคุณสมบัติที่ดีของพลาสติก แต่พลาสติกใช้เวลาในการย่อยสลายนานจึงทำให้เกิดขยะพลาสติกเป็นจำนวนมากหากไม่มีการคัดแยกและกำจัดให้ถูกต้อง นวัตกรรมเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง ช่วยลดขยะล้นโลก ปัจจุบันได้มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาคุณภาพของเม็ดพลาสติกจนได้เม็ดพลาสติกคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติที่แข็งแรง เหนียวแน่น ทนต่อแรงกด และการตกกระแทก ด้วยคุณสมบัติที่ดีของเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงการผลิตพลาสติกต่อครั้งจึงใช้จำนวนเม็ดพลาสติกในการผลิตที่น้อยลงแต่ได้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเดิม นอกจากนั้นการใช้จำนวนเม็ดพลาสติกที่น้อยในการผลิตยังช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิตซึ่งหมายถึงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศให้น้อยลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก และพาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงยังมีข้อดีคือมีน้ำหนักที่เบาจึงช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในการขนส่งช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจ ไม่มีกลิ่นฉุนซึ่งดีต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพราะสามารถนำมารีไซเคิลเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ได้โดยที่คุณสมบัติยังคงเดิมเหมือนเม็ดพลาสติกใหม่ ทำให้สามารถลดปริมาณของขยะพลาสติกได้เป็นจำนวนมาก นวัตกรรมถังขยะ ถังขยะเป็นภาชนะที่สำคัญในการคัดแยกขยะเพื่อให้สามารถนำขยะมากำจัดได้อย่างถูกวิธีและเพื่อลดปริมาณขยะให้น้อยลง ซึ่งในปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับขยะล้นโลกที่ต้องหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสมและก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด ถังขยะที่ใช้ในการคัดแยกขยะมีด้วยกัน 4 ประเภทหลัก ๆ คือ ขยะเปียกสีเขียว, ขยะรีไซเคิลสีเหลือง, ขยะอันตรายสีแดง และขยะทั่วไปสีน้ำเงิน บางสถานที่อาจมีการแบ่งแยกประเภทของถังขยะมากกว่า 4 ประเภทก็ได้เพื่อให้สามารถกำจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ถังขยะพลาสติก, ถังขยะกระดาษ, ถังขยะถ่านไฟฉายหรือแบตเตอรี่ ปัจจุบันถึงแม้จะมีการรณรงค์ให้คัดขยะแต่ก็ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่มีการคัดแยกขยะส่งผลให้ขยะแต่ละประเภทไม่ได้ถูกกำจัดอย่างถูกวิธี เกิดการหมักหมมและก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้มีการพัฒนาถังขยะเพื่อช่วยให้การทิ้งขยะเป็นเรื่องง่ายมากยิ่งขึ้น นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในประเทศไทย นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในประเทศไทยที่มีการพัฒนาและได้มีการนำมาใช้งานแล้วคือการเปิด-ปิดฝาถังขยะแบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบเซ็นเซอร์ในการจับระยะเพื่อเปิด-ปิดฝาถังขยะ ช่วยให้ทิ้งขยะได้โดยที่ไม่ต้องสัมผัสกับถังขยะเป็นการกระตุ้นให้มีความต้องการทิ้งขยะมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่มีความกังวลความสกปรกที่มักมีบนถังขยะ นอกจากนั้นยังมีถังขยะอัจฉริยะที่อยู่ในขั้นตอนของการทดลองใช้ที่มีเซ็นเซอร์ในการเปิด-ปิดถังขยะเช่นเดียวกัน แต่จะมีความพิเศษคือสามารถบอกสถานะของถังขยะได้ โดยจะมีสัญญาณของไฟคอยแจ้งเตือนว่าสถานะของถังขยะว่าเต็มหรือไม่เต็ม โดยหากไฟกระพริบสีแดงสลับน้ำเงินหมายถึงถังขยะยังไม่เต็ม แต่ถ้าหากมีไฟสีแดงค้างหมายถึงถังขยะเต็มเพื่อลดการหมักหมมของขยะซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจกได้ นวัตกรรมถังขยะอัจฉริยะในต่างประเทศ ในต่างประเทศอย่างประเทศออสเตรเลียก็มีการประดิษฐ์ถังขยะอัจฉริยะซึ่งยังเป็นตัวต้นแบบ โดยถังขยะอัจฉริยะสามารถคัดแยกขยะเองได้เพียงแค่หย่อนขยะลงในถัง โดยใช้น้ำหนักของขยะและระบบเซ็นเซอร์โดยควบคุมด้วย AI ในการแยกประเภทของขยะที่สามารถแยกย่อยได้ถึงประเภทของพลาสติกซึ่งพลาสติกแต่ละชนิดมีวิธีการกำจัดที่แตกต่างกัน และยังมีการใช้ internet of things (loT) ในการประมวลข้อมูลจากเซ็นเซอร์และส่งข้อมูลไปเก็บไว้ที่คลาวด์ เพื่อให้ผู้ที่ใช้งานสามารถติดตามพฤติกรรมการทิ้งขยะได้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากในภาพรวมและในบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่จะได้นำข้อมูลดังกล่าวไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงในการจัดการขยะและกำจัดขยะได้อย่างถูกต้อง นวัตกรรมเครื่องมืออุตสาหกรรมอย่างรถยกไฟฟ้า, รถลากจูงไฟฟ้า, กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, พาเลทพลาสติก และถังขยะ ช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ ในโรงงานอุตสาหกรรมลดการสร้างมลพิษโดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมแล้วยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานได้อีกด้วย Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า, รถเข็น, โต๊ะยกปรับระดับ, กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก, พาเลทพลาสติก, ถังขยะ ฯลฯ ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ ที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมบริการให้คำแนะนำและบริการหลังการขายจากทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพให้ท่านมั่นใจในสินค้ารวมถึงบริการของทาง Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
พาเลทพลาสติก อุปกรณ์ยอดฮิตในธุรกิจโลจิสติกส์

พาเลทพลาสติก อุปกรณ์ยอดฮิตในธุรกิจโลจิสติกส์ พาเลทพลาสติก กลไกสำคัญของความสำเร็จในธุรกิจโลจิสติกส์ พาเลทพลาสติกมีบทบาทที่สำคัญในธุรกิจโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้าแล้ว ยังสามารถช่วยรวบรวมสินค้าให้เป็นระบบ ช่วยให้สามารถขนย้ายสินค้าจำนวนมาก ๆ ได้พร้อมกัน ช่วยประหยัดเวลาในการขนถ่ายสินค้า และยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเคลื่อนย้ายและขนส่ง ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์มีการหมุนเวียนสินค้าได้อย่างรวดเร็วทำให้มีศักยภาพในการแข่งขัน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนของธุรกิจได้เป็นอย่างดี พาเลทพลาสติก เป็นแท่นที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมใช้สำหรับวางสินค้าเพื่อลากเก็บ ลำเลียง หรือขนส่ง โดยพาเลทพลาสติกจะมีสองด้านคือ ด้านบนและด้านล่างโดยด้านบนจะเป็นด้านที่ใช้ในการวางสินค้าซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นผิวเรียบและแบบโปร่งลายตาราง ส่วนด้านล่างของแท่นจะมีช่องไว้สำหรับให้งาของรถลากพาเลท, รถยกไฟฟ้า หรือรถโฟล์คลิฟท์ สอดเข้าไปเพื่อยก-ย้ายสินค้า หรือพาเลทพลาสติกบางชนิดทั้งสองด้านสามารถใช้วางสินค้าได้โดยส่วนของขาจะอยู่ตรงกลางลักษณะคล้ายแซนด์วิช พาเลทพลาสติกนิยมใช้ในอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ศูนย์โลจิสติกส์, คลังสินค้า และอุตสาหกรรมโรงงานทั่วไป โดยประเภทของพาเลทพลาสติกมีดังนี้ แบ่งตามประเภทของเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการผลิตพาเลทพลาสติกซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1.1 เม็ดพลาสติกชนิด Polypropylene (PP) เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกที่เบามาก มีความเหนียว ทนต่อแรงดึง และแรงกระแทก แต่ไม่สามารถทนทานต่อความเย็นได้และหากตกลงมาจากที่สูงมาก ๆ สามารถแตกหักได้ พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PP นิยมใช้เพียงครั้งเดียว (Sigle Used) เนื่องจากมีน้ำหนักที่เบาและราคาถูกจึงประหยัดต้นทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ 1.2 เม็ดพลาสติก High Density Polyethylene (HDPE) เป็นพลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูงมีความแข็งแรง ทนทาน แต่มีน้ำหนักที่มากเมื่อเทียบกับพาเลทพลาสติกที่ผลิตจากพลาสติก PP มีความทนทานต่อความเย็นได้ดีจึงสามารถนำมาใช้กับห้องเย็นที่มีอุณหภูมิติดลบได้ พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด HDPE นิยมนำกลับมาใช้หมุนเวียน (Multiple Used) เพราะมีความแข็งแรงและทนทานในการใช้งานเป็นอย่างมาก แบ่งตามลักษณะทางกายภาพของพาเลทพลาสติก 2.1 Single Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบหน้าเดียวโดยจะมีด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่ใช้วางสินค้าได้อีกด้านจะเป็นขาที่มีลักษณะคล้ายตัว E จะมีช่องว่างระหว่างขาเพื่อให้งาสอดเข้าไปได้ พาเลทพลาสติกชนิดนี้สามารถใช้ได้กับรถแฮนด์พาเลท รถยกสูง และรถโฟล์คลิฟท์ 2.2 Double Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบสองหน้า ทั้งด้านบนและด้านล่างของพาเลทจะเป็นพื้นที่ที่สามารถใช้วางสินค้าได้และตรงกลางจะมีขาของพาเลทเพื่อรองรับน้ำหนักซึ่งจะมีช่องว่างระหว่างขาเพื่อให้งาสามารถสอดเข้าไปได้คล้ายแซนด์วิช พาเลทพลาสติกชนิดนี้มีความแข็งแรงมากว่าพาเลทพลาสติกชนิดแรกแต่สามารถใช้งานได้เฉพาะรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้น 2.3 Window-Cross Pallet พาเลทพลาสติกแบบช่องหน้าต่างมีรูปแบบเหมือนกับพาเลทพลาสติกแบบสองหน้า แต่ตรงกลางจะเป็นขาที่มีลักษณะกากบาททั้ง 4 ด้านไขว้กันและมีช่องว่างคล้ายช่องหน้าต่าง 4 ช่อง มีความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนัก สามารถใช้กับรถโฟล์คลิฟท์และรถแฮนด์พาเลทได้ แบ่งตามการนำไปใช้งาน 3.1 พาเลทพลาสติกสำหรับส่งออก เป็นพาเลทพลาสติกชนิดที่สามารถซ้อนกันได้เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน มีน้ำหนักเบา สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 1,000 - 2,000 กิโลกรัม จึงนิยมใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก PP เพราะมีน้ำหนักที่เบา แข็งแรง และราคาถูก 3.2 พาเลทพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมทั่วไปและส่งออก เป็นพาเลทพลาสติกที่ใช้ทั้งในอุตสาหกรรมทั่วไปและการส่งออก พาเลทพลาสติกที่ใช้ในลักษณะดังกล่าวจะมีด้านหน้าที่เรียบ และฉีดขึ้นรูปพลาสติกเนื้อเดียวทั้งแผ่นเพื่อเพิ่มความแข็งแรงในการรองรับน้ำหนักของสินค้าแผ่นพื้นหนาประมาณ 50 มม. โดยสามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 3,000 – 4,500 กิโลกรัม 3.3 พาเลทพลาสติกสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่สามารถใช้พาเลทพลาสติกได้ทั้ง 3 ลักษณะคือ Single-Face Pallet, Double-Face Pallet และ Window-Cross Pallet ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่ใช้ในการยก-ย้าย หรือลักษณะของอุตสาหกรรมที่นำไปใช้งาน พาเลทพลาสติกชนิดนี้สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 3,000 - 6,000 กิโลกรัม 3.3 พาเลทพลาสติกสำหรับสินค้าที่มีน้ำหนักมาก เช่น อุตสาหกรรมแป้ง, ข้าว, น้ำตาล, ปูนซีเมนต์ และเคมีภัณฑ์ เป็นพาเลทพลาสติกที่มีความหนามากกว่าพาเลทพลาสติกทั่วไป ทั้งขากลางของพาเลทและพื้นที่ที่รับน้ำหนัก ซึ่งสามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 6,000 – 8,000 กิโลกรัม นิยมใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE เพื่อความแข็งแรงและทนทาน ขนาดมาตรฐานของพาเลทพลาสติก ขนาดของพาเลทพลาสติกเป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกใช้ โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องมีการส่งออก เนื่องจากบางประเทศมีการกำหนดขนาดของพาเลทในการใช้งานเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายหรือกฎระเบียบของประเทศนั้น ๆ ซึ่งขนาดมาตรฐานของพาเลทพลาสติกที่นิยมใช้กันตามหลัก ISO มีอยู่ด้วยกัน 3 ขนาด คือ ขนาด 80 x 120 เซนติเมตร นิยมใช้ในกลุ่มประเทศยุโรป ขนาด 110 x 110 เซนติเมตร ใช้ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดขึ้นมา ขนาด 100 x 120 เซนติเมตร เป็นพาเลทขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากที่สุดในประเทศไทยและทั่วโลก วิธีการเลือกใช้พาเลทพลาสติก การเลือกใช้พาเลทพลาสติกให้เหมาะกับลักษณะของสินค้า น้ำหนัก เครื่องมือในการเคลื่อนย้าย และลักษณะในการใช้งานจะช่วยป้องกันและรักษาความปลอดภัยของสินค้าได้ดี เช่น พาเลทพลาสติกเหมาะกับการขนส่งทางเรือและใช้หมุนเวียนภายในองค์กร เพราะพาเลทพลาสติกมีความแข็งแรง ทนทาน พื้นผิวกันลื่น น้ำหนักเบา สามารถทนความชื้นและไม่เป็นสนิม ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้พาเลทพลาสติก น้ำหนัก/ขนาด/รูปแบบการจัดเก็บ การเลือกพาเลทพลาสติกควรเลือกให้มีความสอดคล้องกับปัจจัยทั้ง 3 เพราะจะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ ช่วยให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และปลอดภัยจากอุบัติเหตุในการใช้งาน เช่น ไม่ควรใช้พาเลทพลาสติกรองรับสินค้าที่มีน้ำหนักเกินกว่าที่พาเลทพลาสติกกำหนดไว้เพราะอาจทำให้เกิดการแตกร้าวหรือหัก ซึ่งส่งผลให้สินค้าได้รับความเสียหาย ขนาดของพาเลทควรมีขนาดที่พอดีกับขนาดของสินค้าเพื่อช่วยป้องกันการตกหล่น หรือการวางสินค้าบนชั้นวางสินค้าหรือสินค้าถูกเก็บไว้ในห้องเย็นควรใช้พาเลทพลาสติกที่ผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE เพราะมีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกดทับของสินค้าและอุณหภูมิติดลบได้ดี เครื่องมือที่ใช้ในการยก-ย้าย ก่อนการเลือกพาเลทพลาสติกเพื่อนำมาใช้งานควรต้องวางแผนในการใช้งานและสำรวจเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการยก-ย้าย เนื่องจากพาเลทพลาสติกแต่ละชนิดสามารถใช้เครื่องมือในการยก-ย้ายได้แตกต่างกัน เช่น พาเลทพลาสติกแบบ Single Face Pallet สามารถใช้กับรถยกสูง รถลากพาเลท และรถโฟค์ลิฟท์ได้ ในขณะที่ Double Face Pallet สามารถใช้ได้เฉพาะกับรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้น ความบ่อยในการเคลื่อนย้าย สินค้าที่วางไว้นาน ๆ กับสินค้าที่มีการเคลื่อนย้ายบ่อย ๆ ย่อมมีความแตกต่างในการเลือกใช้พาเลทพลาสติก เพราะสินค้าที่มีการวางไว้เป็นเวลานาน ๆ ย่อมต้องมีการกดทับของสินค้าจึงต้องเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ดี อาจจะเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่ใช้กับงานที่หนักหรือผลิตจากเม็ดพลาสติก HDPE สำหรับสินค้าที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายบ่อย ต้องการความแข็งแรงแต่มีน้ำหนักที่เบา ก็อาจเลือกใช้พาเลทพลาสติกชนิดที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไปและการส่งออก และพาเลทพลาสติกที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ประเทศปลายทางที่ส่งออก ในหลายประเทศมีการกำหนดขนาดของที่จะนำเข้ามาในประเทศ มีผลต่อการเลือกใช้พาเลทพลาสติก เช่น ประเทศในแถบยุโรปกำหนดขนาดของพาเลทพลาสติกที่จะเข้ามาสู่ประเทศคือขนาด 80 X 120 เซนติเมตร หรือประเทศญี่ปุ่นกำหนดขนาดไว้ที่ 110 X 110 เซนติเมตร หากขนาดของพาเลทพลาสติกไม่เป็นไปตามที่ประเทศนั้นกำหนดไว้ สินค้าจะถูกส่งกลับซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง หนึ่งในหลักการของการบริหารจัดการโลจิสติกส์คือความรวดเร็วและความปลอดภัยของสินค้าที่ส่งถึงปลายทาง โดยที่ยังช่วยลดต้นทุนให้กับธุรกิจเพื่อให้ธุรกิจสร้างผลกำไรตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ พาเลทพลาสติกเป็นหนึ่งกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวให้ทันกับการแข่งขัน สร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งและตอบโจทย์ความรวดเร็วตามที่ลูกค้าต้องการได้ Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายพาเลทพลาสติกแบบหน้าเดียว มีความแข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้ง่าย ด้วยวัสดุคุณภาพที่เหมาะในการใช้งานในทุกอุตสาหกรรม ยินดีให้คำแนะนำในการเลือกใช้งานพร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
มาตรฐานและการใช้งานพาเลทพลาสติกแต่ละประเภท

มาตรฐานและการใช้งานพาเลทพลาสติกแต่ละประเภท พาเลทพลาสติก เลือกใช้ให้ถูกต้อง มีมาตรฐาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน พาเลทพลาสติกมีหน้าที่ในการรองรับสินค้าเพื่อให้มีความสะดวกในการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ และขนส่งสินค้า พาเลทพลาสติก จึงต้องมีความแข็งแรงและทนทานเพื่อให้สามารถรองรับงานหนัก ๆ ได้ รวมไปถึงคุณสมบัติเพิ่มเติมต่าง ๆ ที่จะช่วยให้สามารถใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน สามารถทนทานต่ออุณหภูมิต่ำได้ดี ซึ่งพาเลทพลาสติกที่มีคุณสมบัติดังกล่าวเหมาะสมในการใช้งานในอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนั้นการขนส่งสินค้าไปต่างประเทศอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ถูกนำเข้าไปในประเทศนั้น ๆ ยังต้องมีมาตรฐานตามที่แต่ละประเทศมีการ กำหนดเอาไว้ จึงทำให้พาเลทพลาสติกต้องมีคุณภาพและมาตรฐานเพื่อเป็นการการันตีความปลอดภัยในการใช้งาน รวมไปถึงการใช้งานที่ถูกต้องเนื่องจากพาเลทพลาสติกมีหลายประเภท มีความแตกต่างในการใช้งานร่วมกับเครื่องมือที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย การเลือกใช้งานพาเลทพลาสติกได้อย่างถูกต้องและมีมาตรฐานจะช่วยให้การใช้งานมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้ ตัวอย่างมาตรฐานพาเลพลาสติก ที่ควรมี! มาตรฐาน GMP สำหรับพาเลทพลาสติกที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมอาหารควรผ่านมาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรมอาหาร GMP เป็นหลักเกณฑ์ของการผลิตอาหารที่ดีในทุกขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่การก่อสร้างอาคารจนถึงการจัดส่งสินค้าเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการปนเปื้อนในอาหารและทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นพิษซึ่งเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคได้ ดังนั้นอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจึงต้องผ่านมาตรฐานของ GMP ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงพาเลทพลาสติกเพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีความใกล้ชิดกับบรรจุภัณฑ์อาหารเมื่อมีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ หรือขนส่ง ซึ่งตามมาตรฐาน GMP อุปกรณ์ที่จะผ่านมาตรฐานควรเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน ไม่เป็นสนิม มีความแข็งแรง ทนทานในการใช้งาน สะอาด และถูกสุขอนามัย เพื่อลดอันตรายต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนด้านกายภาพ จุลินทรีย์และเคมีในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อให้อาหารนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น มาตรฐาน HACCP เป็นระบบประกันคุณภาพที่สูงกว่า GMP ซึ่งเป็นระบบการจัดการคุณภาพด้านความปลอดภัย ที่ครอบคลุมถึงการป้องกันอันตรายที่มาจาก 3 สาเหตุ คืออันตรายทางชีวภาพ เช่น อันตรายจากเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคหรือสารพิษ, อันตรายจากสารเคมี เช่น, สารเร่งการเจริญเติบโต, สารกันบูด และอันตรายทางกายภาพ เช่น เศษพลาสติก, เศษแก้ว เศษกระจก, เศษไม้ ซึ่งในกระบวนการผลิตพาเลทพลาสติกที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมอาหารก็ต้องผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน HACCP ก่อนที่จะนำมาใช้งาน เนื่องจากกระบวนการผลิตพาเลทพลาสติกต้องมีการเกี่ยวข้องกับเม็ดพลาสติกและสารเคมี รวมถึงกระบวนการผลิตที่อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนได้จึงต้องมีการควบคุมความปลอดภัยทั้งวัสดุและกระบวนการผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสารพิษในพาเลทพลาสติกอาจส่งต่อไปยังบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ห่อหุ้มอาหารทำให้อาหารเกิดการปนเปื้อนได้ เพื่อให้ได้มาตรฐานทั้งความแข็งแรงและทนทานในการใช้งานเพื่อป้องกันการแตกหัก ตามมาตรการของมาตรฐาน HACCP จะมีการวิเคราะห์จุดอันตรายในทุกขั้นตอนของพาเลทพลาสติกเพื่อหาจุดวิกฤต หากมีจุดวิกฤตจะถูกควบคุมความอันตรายที่จะเกิดขึ้นให้อยู่ภายใต้เกณฑ์ที่กำหนดโดยจะมีการกำหนดแผนการทดสอบ การเฝ้าระวัง การกำหนดมาตรการบันทึกข้อมูลและจัดเก็บเอกสารเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง โดยกระบวนการทั้งหมดต้องได้รับการดูแล ให้คำปรึกษา และการตัดสินใจจากผู้เชี่ยวชาญจาก HACCP มาตรฐาน ISO 9001: 2015 เป็นมาตรฐานระบบบริหารคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นระบบบริหารที่ช่วยให้โรงงานอุตสาหกรรมผลิตพาเลทพลาสติกสามารถผลิตพาเลทพลาสติกได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001-2015 จะช่วยสร้างระบบในกระบวนการทำงานให้มีความชัดเจน มีการตรวจสอบ และปรับปรุงองค์กรตลอดเวลาเป็นการพัฒนาที่ส่งผลถึงคุณภาพของพาเลทพลาสติก ทำให้พาเลทพลาสติกมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด คือ มีความแข็งแรง ทนทานทั้งต่ออุณหภูมิที่ร้อนจัด เย็นจัด สารเคมี กรด ด่าง และรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายเมื่อนำไปใช้งาน มาตรฐาน JIS เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมญี่ปุ่นที่มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตภายในประเทศ ตั้งแต่ส่วนประกอบ วัตถุดิบ คุณสมบัติ และกระบวนการผลิต ซึ่งมาตรฐาน JIS จะมีการแบ่งแยกรหัสออกเป็นหลายรหัสตามประเภทของกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งพาเลทพลาสติกที่ได้รับมาตรฐาน JIS จะได้รับการตรวจสอบคุณภาพและมีการทดสอบเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยในการใช้งาน โดยการทดสอบมาตรฐานพาเลทพลาสติกตามมาตรฐาน JIS มีการทดสอบหลัก ๆ อยู่ 3 การทดสอบ คือ Computerized bending & compression test เป็นการทดสอบการแอ่นตัวและการแตกร้าวของพาเลทพลาสติกเมื่อรับน้ำหนักตามที่กำหนดไว้ เช่น พาเลทพลาสติก Single Face Pallet แผ่นนี้สามารถรับน้ำหนักได้ 2,000 กิโลกรัม โดยจะทดสอบการรับน้ำหนักของพาเลทพลาสติก ณ ขณะที่อยู่กับที่ (Static Load) เมื่อมีการเคลื่อนย้าย (Dynamic Load) และเมื่อวางไว้บนชั้นวางสินค้า (Racking Load) ซึ่งจะวางพาเลทพลาสติกที่ต้องการทดสอบไว้บนเครื่องกด (Pressing Dynamic) และเครื่องกดจะใช้แผ่นเหล็กกดลงบนพาเลทพลาสติก ซึ่งแรงกดจะมีน้ำหนักตามที่มีการกำหนดไว้สำหรับพาเลทพลาสติกแผ่นนี้ เพื่อทดสอบการไม่แตกร้าวหรือการแอ่นตัวของพาเลทพลาสติก ต้องไม่เกินจากที่มาตรฐานกำหนดคือ 10 มม. หรือ 1 เซนติเมตร โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมด Sidewall fork tip impact test เป็นการทดสอบความเหนียวของผนังด้านข้างพาเลทพลาสติกทั้ง 4 ด้านซึ่งจะใช้แรงกระแทกจากเหล็กในการทดสอบ โดยจะวางพาเลทพลาสติกที่ต้องการทดสอบลงบนรถเลื่อนเพื่อให้รถเลื่อนนำพาเลทพลาสติกไปกระแทกกับแท่งเหล็กหลังจากกระแทกแล้วพาเลทพลาสติกไม่มีรอยแตกร้าวก็ถือได้ว่าผ่านการทดสอบ โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมด Drop Test เป็นการทดสอบการต้านทานแรงตกกระแทกจากที่สูง โดยการทดสอบจะนำพาเลทพลาสติกแผ่นที่ต้องการทดสอบไปแขวนหรือถือไว้บนที่สูงประมาณ 1 เมตร โดยการแขวนหรือถือต้องให้มุมของพาเลทพลาสติกเป็นจุดกระทบพื้น และก็ปล่อยพาเลทพลาสติกลงบนพื้นหากหลังจากทดสอบแล้วพาเลทพลาสติกไม่มีการแตกร้าวก็ถือว่าผ่านการทดสอบ โดยการทดสอบจะใช้อุปกรณ์ในการทดสอบให้เหมือนการใช้งานจริงทั้งหมด การทดสอบคุณภาพมาตรฐานของพาเลทพลาสติกตามมาตรฐาน JIS สามารถทำการทดสอบได้มากกว่าที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างน้อยควรผ่านการทดสอบ 3 การทดสอบหลัก ๆ ที่กล่าวมาเพื่อเป็นการยืนยันถึงคุณภาพมาตรฐานของพาเลทพลาสติกแผ่นนั้นว่าเหมาะสมในการใช้งาน การใช้งานพาเลทพลาสติก ประเภทของพาเลทพลาสติกที่แบ่งตามลักษณะกายภาพมีด้วยกัน 3 ประเภท ซึ่งใช้เครื่องมือในการเคลื่อนย้ายที่แตกต่างกัน Single Face Pallet เป็นประเภทของพาเลทพลาสติกที่สามารถวางสินค้าได้แค่หน้าเดียวโดยด้านล่างจะเป็นขาที่ใช้รองรับน้ำหนักและมีช่องเพื่อให้งาสอดเข้าไปเพื่อยก-ย้ายพาเลท พาเลทพลาสติกชนิดนี้สามารถใช้งานกับ รถแฮนด์พาเลท รถยกสูง และรถโฟล์คลิฟท์ได้ Double Face Pallet พาเลทพลาสติกแบบสองหน้าที่ทั้งสองด้านสามารถใช้วางสินค้าได้ และตรงกลางของพาเลทพลาสติกมีขาเพื่อรองรับน้ำหนักและมีช่องว่างเพื่อให้งาสอดเข้าไปเพื่อยก-ย้าย สามารถใช้งานได้กับรถโฟล์คลิฟท์เท่านั้น Window-Cross Pallet มีรูปแบบเหมือนกับพาเลทพลาสติกแบบสองหน้า แต่ตรงกลางจะเป็นขาที่มีลักษณะกากบาททั้ง 4 ด้านไขว้กันจึงทำให้มีช่องว่าง 4 ช่อง สามารถใช้กับรถโฟล์คลิฟท์และรถแฮนด์พาเลทได้ ข้อควรระวังในการใช้งานพาเลทพลาสติก ข้อควรระวังในการใช้งานช่วยให้พาเลทพลาสติกมีอายุการใช้งานยาวนานมากยิ่งขึ้น ช่วยลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยมีดังนี้ ไม่ควรบรรทุกสินค้าเกินกว่าที่ระบุไว้ เพื่อลดความเสี่ยงของการแตกหักและความปลอดภัยในการใช้งาน ไม่ควรวางสินค้ากระจุกไว้ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ตรงกลาง, ด้านซ้าย หรือ ด้านขวา เพราะทำให้พาเลทพลาสติกเกิดการผิดรูปหรือเกิดการยุบตัวได้ ควรเลือกใช้พาเลทพลาสติกให้เหมาะสม เช่น สินค้าที่เป็นน้ำมัน สารเคมี ควรเลือกใช้พาเลทพลาสติกที่สามารถทนทานต่อสารดังกล่าวได้เพราะสารดังกล่าวสามารถทำให้พาเลทมีคุณภาพที่ลดลงได้ หรือพาเลทพลาสติกที่ใช้ในห้องเย็น ควรทนทานต่ออุณหภูมิติดลบได้ดี หลีกเลี่ยงการใช้พาเลทพลาสติกที่ชำรุด อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ควรเก็บให้ห่างจากวัตถุไวไฟ พื้นที่ที่มีแดดจัด หรือกลางแจ้ง เพราะอาจทำให้เกิดการละลายหรือผิดรูปและเสื่อมคุณภาพได้ ห้ามดัดแปลงพาเลทพลาสติก เช่น การเจาะหรือการตัด เพราะจะทำให้คุณสมบัติทางกายภาพลดลง Jenstore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายพาเลทพลาสติกจัดเก็บแบบหน้าเดียว ที่มีคุณภาพสูง แข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้ง่าย นอกจากนั้นยังจำหน่ายเครื่องมือในการเคลื่อนย้าย เช่น รถยกไฟฟ้า, รถลากพาเลท, รถลากจูงไฟฟ้า รถยกลาก ที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกันกับพาเลทพลาสติกได้ พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่ยินดีให้คำแนะนำในการใช้งานและบริการหลังการขายจากทีมงานมืออาชีพ สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
พาเลทพลาสติกรีไซเคิล หนึ่งองค์ประกอบสู่กรีน โลจิสติกส์

พาเลทพลาสติกรีไซเคิล หนึ่งองค์ประกอบสู่กรีน โลจิสติกส์ พาเลทพลาสติกรีไซเคิล การใช้งานแบบหมุนเวียนที่ช่วยลดมลพิษ พาเลท เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในงานโลจิสติกส์มีไว้สำหรับรองสินค้าเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ถ่ายเท หรือขนส่งสินค้า ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีจำนวนมาก ๆ ได้พร้อมกัน จึงช่วยประหยัดทั้งแรงงาน เวลา และต้นทุนของธุรกิจ ชนิดของพาเลทที่ใช้ในงานโลจิสติกส์มีหลายประเภท แต่ชนิดของพาเลทที่เป็นที่นิยมในการใช้งานคือ พาเลทไม้และพาเลทพลาสติก พาเลทไม้เป็นพาเลทที่ผลิตจากไม้ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติมีความแข็งแรงและราคาถูก สามารถซ่อมแซมได้เมื่อเกิดความเสียหาย แต่พาเลทพลาสติกผลิตจากเม็ดพลาสติกที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาจึงทำให้สามารถกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการได้ พาเลทพลาสติกจึงมีความแข็งแรง ทนทานต่ออุณหภูมิโดยเฉพาะอุณหภูมิติดลบ ทนทานต่อสารเคมี กรด ด่าง ความชื้น มีน้ำหนักเบา แมลงไม่สามารถกัดแทะและเชื้อราไม่สามารถเจริญเติบโตได้ สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้งานใหม่หรือรีไซเคิลพาเลทพลาสติกที่เสียหายไม่สามารถใช้งานได้แล้วให้นำกลับมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวทำให้พาเลทพลาสติกมีราคาที่สูงกว่าพาเลทไม้ ซึ่งในการใช้งานโลจิสติกส์ต้องใช้พาเลททั้งสองชนิดเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลกระทบต่อธรรมชาติทั้งการตัดไม้ทำลายป่าและการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งโลกต้องเจอวิกฤตจากภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะในงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงโลจิสติกส์ด้วยเช่นกันทำให้มีการคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยให้การใช้พาเลทก่อให้เกิดผลเสียต่อธรรมชาติให้น้อยมากที่สุดเพื่อให้ก้าวไปสู่กรีน โลจิสติกส์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะพาเลทพลาสติกที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ย่อยสลายได้ยาก สามารถอยู่ได้เป็นหลายร้อยปี อีกทั้งหากกำจัดอย่างไม่ถูกวิธีก็ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนและสร้างปริมาณขยะจำนวนมากจนโลกต้องเจอวิกฤตของขยะล้นโลกเหมือนในปัจจุบัน พาเลทพลาสติกรีไซเคิล นวัตกรรมรักษ์โลก พาเลทพลาสติกที่ใช้ในประเทศไทยโดยส่วนใหญ่ผลิตจากเม็ดพลาสติกชนิด PP และ HDPE ซึ่งในปัจจุบันเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการผลิตพาเลทพลาสติกจะเป็นเม็ดพลาสติกที่เกิดจากการรีไซเคิลจากพาเลทพลาสติกที่ใช้แล้วหรือที่แตกร้าวนำมาผลิตพาเลทพลาสติกใหม่อีกครั้ง ซึ่งได้มีการใช้สารเติมแต่งเพื่อให้ได้พาเลทพลาสติกที่มีคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพดีดังเดิม ซึ่งวิธีดังกล่าวช่วยลดจำนวนขยะพาเลทพลาสติกที่เสียหายหรือไม่สามารถนำมาใช้งานได้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วยลดการทำลายสิ่งแวดล้อมเนื่องจากเม็ดพลาสติกมีน้ำมันเป็นวัตถุดิบซึ่งเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปและยังเป็นวัตถุดิบที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกต้นเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน นอกจากใช้พาเลทพลาสติกรีไซเคิลแล้วยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ได้พาเลทพลาสติกที่มีประสิทธิภาพและไม่ก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยเทคโนโลยีดังกล่าวได้ผลิตเม็ดพลาสติกที่ช่วยให้พาเลทพลาสติกมีความทนทานต่อแรงกด ทนทานต่อการเสียรูป ทนทานต่อการตกกระแทก และทนทานอุณหภูมิต่ำได้ดี อีกทั้งยังมีความแข็งแรงและความเหนียวมากขึ้น มีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังฉีดขึ้นรูปพาเลทได้ง่าย เซตตัวได้เร็ว และใช้จำนวนเม็ดพลาสติกในการผลิตที่น้อยกว่าเม็ดพลาสติกเกรดทั่วไป ส่งผลให้พาเลทพลาสติกที่ได้ไม่มีฟองอากาศ ไม่มีรอยยุบ รอยย่น จึงช่วยลดปริมาณของพาเลทพลาสติกที่ไม่ได้มาตรฐานและยังช่วยประหยัดพลังงานในการผลิต ที่สำคัญเมื่อนำกลับมารีไซเคิลใหม่พาเลทพลาสติกที่ได้ยังคงมีความแข็งแรงในการใช้งานเหมือนเดิมและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญแม้แต่กระบวนการในการผลิตเม็ดพลาสติกยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้ระบบควบคุมของเสียโดยใช้หลัก 3 Rs เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและไม่มีการปล่อยน้ำเสียจากการผลิตไปสู่แหล่งน้ำของชุมชนรอบโรงงานอีกด้วย สำหรับในต่างประเทศก็มีการตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ อย่างบริษัทโลจิสติกส์ในประเทศอินโดนีเซียที่มีการใช้งานพาเลทไม้ในงานโลจิสติกส์เป็นส่วนใหญ่ ก็พบกับปัญหาในการใช้งาน เช่น ไม่มีความทนทานต่ออุณหภูมิและความชื้นสูง ผุพังง่ายและอาจเป็นตัวล่อแมลง ดังนั้นจึงได้มีการหันมาใช้พาเลทพลาสติกโดยมีความตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมและต้องการให้สอดคล้องกับนโยบายของบริษัทที่ต้องการรักษาสิ่งแวดล้อม จึงมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตพาเลทพลาสติกจากพลาสติกรีไซเคิลและนำมาใช้ในศูนย์กระจายสินค้าที่อินโดนีเซีย มีชื่อเรียกว่า “พาเลทแบบคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” เป็นการนำพลาสติกที่เหลือจากการผลิตภาชนะสุญญากาศปริมาณ 12 ตันมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพาเลทพลาสติก ซึ่งผลิตออกมาได้จำนวน 400 พาเลท มีคุณสมบัติที่มีความทนทานและมีอายุการใช้ที่ยาวนาน เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 67.3 กิโลกรัมต่อพาเลท และการผลิตพาเลทพลาสติกโดยใช้พลาสติกรีไซเคิลยังใช้ต้นทุนในการผลิตใกล้เคียงกับพาเลทพลาสติกมาตรฐานทั่วไป อินโดนีเซียจึงมองเห็นช่องทางในการลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศจึงมีแผนที่จะหาพลาสติกเหลือใช้คุณภาพสูงมาใช้ผลิตพาเลทพลาสติกชนิดใหม่นี้ เพื่อนำไปใช้ที่ศูนย์กระจายสินค้าอื่น ๆ ทั่วโลก ธุรกิจโลจิสติกส์ของหลายประเทศกำลังก้าวเข้าสู่กรีน โลจิสติกส์ จุดประสงค์ก็เพื่อช่วยให้โลกสามารถฟื้นฟูกลับมาสู่สมดุลอีกครั้ง นวัตกรรมสำหรับพาเลทพลาสติกรีไซเคิลเป็นเพียงกลไกหนึ่งที่จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติให้มากที่สุด แต่ยังมีศักยภาพมากพอที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับธุรกิจได้ โดยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยพัฒนาให้พาเลทพลาสติกเป็นอุปกรณ์ในการวางสินค้าที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจได้ โดยที่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เพื่อให้ธุรกิจโลจิสติกส์ยังสามารถดำเนินธุรกิจและเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนบนโลกใบเดิม Jenstore by Jenbunjerd เป็นผู้จำหน่ายพาเลทพลาสติกจัดเก็บแบบหน้าเดียว, พาเลทพลาสติก ที่มีความแข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับใช้งานในอุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังจำหน่ายอุปกรณ์ในการจัดเก็บ เช่น กล่องพลาสติก, ลังพลาสติก, ถังพลาสติก ที่ผลิตจากพลาสติกคุณภาพสูง ไม่มีกลิ่นฉุน พร้อมบริการหลังการขายจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่จะคอยช่วยให้ท่านใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ และการใช้งาน

เครื่องวัดอุณหภูมิประเภทต่าง ๆ และการใช้งาน เครื่องวัดอุณหภูมิ อุปกรณ์ที่สำคัญที่ทุกอุตสาหกรรมต้องมี ตัวเลขบนเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าวัตถุที่ถูกวัดมีอุณหภูมิเท่าไร ร้อน เย็น หรือมีความชื้น เพื่อบอกว่าอุณหภูมิมีความเหมาะสม ปกติหรือผิดปกติหรือไม่ เครื่องวัดอุณหภูมิสามารถวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่อาหาร ของเหลว ก๊าซ โลหะ หรือแม้แต่มนุษย์ เครื่องวัดอุณหภูมิมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่สำคัญ 2 องค์ประกอบคือ เซนเซอร์ที่ไว้สำหรับตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของวัตถุ และอุปกรณ์ที่ไว้แสดงข้อมูลอุณหภูมิ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องวัดอุณหภูมิให้มีความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น เช่น มีระบบปิดอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ใช้งาน, มีระบบบันทึกค่าอุณหภูมิที่วัดครั้งล่าสุด และมีการประมวลผลที่มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น หน่วยวัดอุณหภูมิที่ใช้ในระดับสากลมีด้วยกัน 3 หน่วย คือ องศาเซลเซียส, ฟาเรนไฮต์ และเคลวิน เครื่องวัดอุณหภูมิที่มีการใช้งานในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดแต่สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะในการใช้งานซึ่งมีผลต่อการตั้งค่าความแม่นยำในการวัดอุณหภูมิเป็นอย่างมาก ประเภทของเครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับทางการแพทย์ ใช้สำหรับวัดไข้เป็นการตรวจหาสิ่งผิดปกติของร่างกายเบื้องต้นเพื่อให้สามารถทำการรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำมากที่สุด ซึ่งเครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับทางการแพทย์มีด้วยกันอยู่ 3 ชนิด  อินฟราเรดเทอร์โมมิเตอร์ เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำมากที่สุด โดยมีค่าแม่นยำที่ ±0.3 องศาเซลเซียส วัดอุณหภูมิโดยที่ไม่ต้องสัมผัสร่างกาย แต่วัดอุณหภูมิโดยการใช้รังสีความร้อนที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย ในการใช้อินฟราเรดเทอร์โมมิเตอร์จะมีการกำหนดจุดสำหรับวัดอุณหภูมิด้วยแสงเลเซอร์ สามารถวัดอุณหภูมิในระยะไกลได้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อโรค แถบอุณหภูมิ เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิที่นิยมใช้ในกรณีที่โรงพยาบาลต้องการวัดอุณหภูมิของผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว โดยเครื่องวัดอุณหภูมิชนิดนี้จะมีแถบอุณหภูมิที่มีผลึกเหลวซึ่งเป็นสารเคมีที่แตกต่างกันอยู่บนพื้นผิวกระดาษดูดซับพิเศษ ที่ตอบสนองต่อความร้อนโดยการเปลี่ยนสี โดยแต่ละสีจะบ่งบอกถึงอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งการวัดแถบอุณหภูมิจะวัดที่บริเวณหน้าผากใช้เวลาอย่างน้อย 15 วินาที หรือจนกระทั่งสีที่ปรากฏขึ้นไม่เปลี่ยนสี หลังจากใช้งานเสร็จสามารถเช็ดทำความสะอาด หรือล้างด้วยสบู่หรือน้ำก็ได้แต่อย่านำไปแช่น้ำโดยเด็ดขาด นอกจากนี้แถบวัดอุณหภูมิยังใช้วัดมอเตอร์หรือเครื่องจักรในงานอุตสาหกรรมได้อีกด้วย ปรอทวัดไข้ เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่นิยมในการใช้งาน มีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบแก้วและแบบดิจิทัลแต่ในปัจจุบันนิยมใช้แบบดิจิทัลมากกว่าเนื่องจากมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าแบบแก้วเนื่องจากภายในของกระเปาะแก้วจะบรรจุปรอทไว้เพื่อใช้วัดอุณหภูมิ หากมีการแตก หัก จะทำให้สารปรอทรั่วออกมาจนเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้ ในปัจจุบันก็ไม่เป็นที่นิยมในการใช้งาน ปรอทวัดไข้แบบดิจิทัลจะใช้ระบบเซนเซอร์ในการตรวจจับอุณหภูมิซึ่งมีค่าความแม่นยำอยู่ที่ 1-2 องศาเซลเซียส โดยสามารถใช้วัดได้ทั้งทางปากหรือรักแร้ แต่การใช้งานควรหลีกเลี่ยงน้ำ ของเหลว หรือการตกจากที่สูง เพราะอาจทำให้เซนเซอร์มีความคลาดเคลื่อนได้ เครื่องวัดอุณหภูมิสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร ใช้ในการตรวจสอบอุณหภูมิของอาหารในอุตสาหกรรมอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอุณหภูมิที่ได้มีความเหมาะสมหรือปลอดภัยสำหรับการรับประทาน เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารสามารถวัดอุณหภูมิอาหารได้ทั้งภายในและภายนอกของอาหาร ซึ่งสามารถวัดชิ้นอาหาร ของเหลว หรืออุณหภูมิในการปรุงอาหาร จึงทำให้เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารมีหลายประเภทเพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำ โดยเครื่องวัดอุณหภูมิอาหารมีด้วยกัน 4 ประเภทคือ1.1 เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด เป็นการวัดอุณหภูมิจากความร้อนของผิวด้านนอก สามารถใช้ตรวจสอบอุณหภูมิได้ทั้งระหว่างการปรุงอาหาร เช่น วัดความร้อนของน้ำ หรืออาหารที่ปรุงสุกแล้ว เพื่อตรวจเช็ก อุณหภูมิว่ามีความเหมาะสมในการใช้งานและความปลอดภัยในการรับประทานหรือไม่ 1.2 เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเข็ม จะมีลักษณะเป็นแท่งสแตนเลสยาว แหลม และมีตัวบอกอุณหภูมิเป็นดิจิทัล สามารถวัดอุณหภูมิได้ทั้งเนื้อสัตว์และน้ำ โดยจะใช้สแตนเลสปลายแหลมแทงเข้าไปที่เนื้อสัตว์ตั้งแต่การปรุงอาหารจนกว่าจะได้อุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อปรุงอาหารให้สุกและมีเนื้อสัมผัสที่ต้องการ เพราะหากรับประทานอาหารดิบโดยเฉพาะเนื้อหมูและสัตว์ปีกจะมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ 1.3 เครื่องวัดอุณหภูมิไบเมทัล จะมีลักษณะคล้ายเครื่องวัดอุณหภูมิแบบเข็มแต่จะเป็นแท่งโลหะสองแท่งที่ทำจากโลหะ 2 ชนิด มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของโลหะทั้งสองจะมีการบิดงอที่แตกต่างกัน โดยที่ตัวบอกอุณหภูมิจะเป็นแบบเข็มนาฬิกา นิยมใช้วัดอุณหภูมิที่เป็นของเหลว เช่น น้ำมัน เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสมในการปรุงอาหาร เครื่องวัดอุณหภูมิไบเมทัลเหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิที่มีค่าสูง ๆ ประมาณ 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป แต่จะมีความแม่นยำที่น้อยในอุณหภูมิที่ต่ำ 1.4 เครื่องวัดอุณหภูมิในเตาอบ จะมีหน้าปัดเหมือนเข็มนาฬิกาจะมีทั้งแบบที่เป็นขาตั้งและมีตะขอเพื่อวางหรือแขวนในเตาอบ เครื่องวัดอุณหภูมิในเตาอบจะใช้ตรวจสอบการกระจายความร้อนและวัดอุณหภูมิในเตาอบให้ได้อุณหภูมิตามที่ต้องการเพื่อให้ได้อาหารที่มีคุณภาพที่ดีและอร่อยในการรับประทาน เครื่องวัดอุณหภูมิอาหารควรผ่านมาตรฐานของ GMP และ HACCP เพื่อให้ได้เครื่องมือที่มีคุณภาพทั้งความแม่นยำและความปลอดภัยในการใช้งาน เทอร์โมสแกน มีอีกชื่อเรียกว่ากล้องถ่ายภาพความร้อนหรือกล้องอินฟราเรด เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่จะแสดงค่าพลังงานความร้อนเป็นภาพแสงที่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับใช้วิเคราะห์อุณหภูมิ เทอร์โมสแกนเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่มีความแม่นยำสูง เพราะมีความไวต่อความยาวคลื่นตั้งแต่ 1,000 นาโนเมตรถึงประมาณ 14,000 นาโนเมตร จึงใช้ความร้อนเพียงเล็กน้อยในการทำงาน เหมาะสำหรับงานด้านอุตสาหกรรม ซ่อมบำรุงด้านไฟฟ้า เครื่องจักรกล และการตรวจหารอยรั่วของน้ำในผนังที่ตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเทอร์โมสแกนมีด้วยกัน 2 ประเภท 2.2.1 เทอร์โมสแกนแบบระบายความร้อน เครื่องวัดอุณหภูมิชนิดนี้จะต้องมีการระบายความร้อนเพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสะสมจนทำให้เกิดการ “ตาบอด” หรือระบบท่วมไปด้วยรังสี จะทำให้กล้องไม่สามารถทำงานต่อไปได้และต้องใช้เวลานานในการลดความร้อนจึงจะเริ่มทำงานได้ใหม่อีกครั้ง 2.2.2 เทอร์โมสแกนที่ไม่มีการระบายความร้อน เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จะใช้เซนเซอร์ในการเปลี่ยนแปลงความต้านทานแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าเมื่อได้รับความร้อนจากรังสีอินฟราเรด จากนั้นจะถูกวัดและเปรียบเทียบกับค่าอุณหภูมิของเซนเซอร์และแสดงออกมาเป็นรูปภาพ เซนเซอร์อินฟราเรดที่ไม่มีการระบายความร้อน สามารถปรับอุณหภูมิให้เสถียรในการทำงานได้เพื่อลดสัญญาณรบกวนของภาพ และเทอร์โมสแกนชนิดนี้ยังมีขนาดที่เล็กและมีราคาที่ย่อมเยา มานอเมตริก เป็นเครื่องวัดอุณหภูมิที่วัดการเปลี่ยนแปลงความดันภายในก๊าซและของเหลว เหมาะสำหรับวัดอุณหภูมิในก๊าซแอลกอฮอล์ คลอโรมีเทน หรือของเหลวชนิดต่าง ๆ เครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัล เป็นระบบเซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ มีหน้าจอแบบดิจิทัลเครื่องวัดอุณหภูมิแบบดิจิทัลมีเทอร์มิสเตอร์ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่แม่นยำและมีการแสดงผลที่รวดเร็ว จึงนิยมใช้ในการวัดอุณหภูมิห้อง ตู้เย็น เป็นต้น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด มีระบบการทำงานและการใช้งานเหมือนเครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ สามารถวัดอุณหภูมิในระยะไกลได้ มีขนาดเล็กและพกพาได้ง่าย แต่จะมีความแม่นยำน้อยกว่าเครื่องมืออุณหภูมิอินฟราเรดทางการแพทย์ เนื่องจากมีระยะวัดอุณหภูมิที่กว้างกว่าเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่มีอุณหภูมิสูง เครื่องวัดอุณหภูมิมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการตรวจสอบความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นทั้งงานทางด้านการแพทย์และงานด้านอุตสาหกรรม ซึ่งเครื่องมือวัดอุณหภูมิสามารถป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น โดยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้นการเลือกใช้งานเครื่องวัดอุณหภูมิจึงต้องเลือกที่มีมาตรฐานและคุณภาพเพื่อความแม่นยำในการตรวจสอบโดยควรได้รับมาตรฐาน มอก. หรือ ISO เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายและผลิตเครื่องวัดอุณหภูมิ, เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้น, กล้องถ่ายภาพความร้อน, เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรด, เครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร ผลิตจากวัสดุพิเศษ คุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ใช้งานง่าย และมีความแม่นยำภายใต้แบรนด์คุณภาพ พร้อมบริการหลังการขายที่จะช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
เคล็ด (ไม่) ลับวิธีใช้งานและการดูแลรักษาเครื่องมือช่างให้ใช้งานได้ยาวนาน

เคล็ด (ไม่) ลับวิธีใช้งานและการดูแลรักษาเครื่องมือช่างให้ใช้งานได้ยาวนาน เพิ่มอายุให้เครื่องมือช่างต้องเลือกใช้อย่างถูกต้องและเก็บรักษาอย่างถูกวิธี เครื่องมือช่างไอเทมสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมหรือบำรุงเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เครื่องมือช่างมักเป็นอุปกรณ์ติดบ้านที่ทุกบ้านต้องมีหรือแม้แต่ในโรงงานอุตสาหกรรมก็ยังต้องมีเครื่องมือช่างไว้ใช้ในการซ่อมแซมหรือบำรุงเครื่องจักรเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือช่างจึงต้องรับบทหนักในการทำงานและเป็นเครื่องมือที่ต้องมีความพร้อมตลอดเวลา การดูแลรักษาเครื่องมือช่างจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับช่างซ่อมบำรุงหรือช่างประจำบ้านเพราะถ้าเครื่องมือช่างมีสภาพที่สมบูรณ์ตลอดเวลาจะช่วยให้สามารถซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงทีและยังช่วยยืดอายุของเครื่องมือช่างให้สามารถใช้งานได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมไปถึงการใช้งานหากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ถูกประเภทของงานจะทำให้เครื่องมือช่างได้รับความเสียหายและก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่สามารถคาดคิดได้ ดังนั้นก่อนใช้งานเครื่องมือช่างควรทำความรู้จักกับประเภทของเครื่องมือช่างเพื่อให้นำไปใช้งานและดูแลรักษาได้อย่างถูกต้อง ประเภทของเครื่องมือช่าง การใช้งาน และวิธีดูแลรักษา เครื่องมือช่างประเภทงานเจาะ มีหน้าที่เจาะให้วัตถุอย่างเช่น ไม้, ปูน พลาสติก หรือเหล็กเกิดช่องว่างเพื่อใส่นอต สกรู หรือเดือยเข้าไป ซึ่งงานเจาะมีหลายประเภท เช่น งานเจาะกระแทก, งานเจาะรู ตัวอย่างของเครื่องมือช่างประเภทเจาะได้แก่ สว่าน สว่านจะมีลักษณะคล้ายปืนส่วนปลายจะมีเหล็กยื่นออกมาเรียกว่า “ดอกสว่าน” เอาไว้เจาะวัตถุที่ต้องการบางรุ่นของสว่านสามารถเปลี่ยนดอกสว่านหลายขนาดได้ เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งสว่านและดอกสว่านมีหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน ประเภทของสว่าน 1. สว่านมือหรือสว่านเฟือง ใช้สำหรับเจาะรูขนาดเล็ก 2. สว่านไฟฟ้า ใช้สำหรับเจาะวัสดุชนิดต่าง ๆ เช่น คอนกรีต, ปูน, โลหะ, ไม้ และพลาสติก มีความรวดเร็วในการเจาะ และใช้งานสะดวก ใช้พลังงานไฟฟ้าในการทำงาน 3. สว่านข้อเสือ มีลักษณะเป็นรูปตัวยู มีคันหมุน นิยมใช้ร่วมกับดอกสว่านที่มีขนาดระหว่าง ¼ -1 นิ้วนิยมใช้ในงานไม้ ประเภทของดอกสว่าน 1. ดอกสว่านเจาะไม้ ส่วนปลายของดอกสว่านจะแหลมคล้ายหางปลาเพื่อลดการแกว่ง ขนาดของดอกสว่านชนิดนี้ที่นิยมใช้กันคือ 5,6 หรือ 8 มิลลิเมตร ใช้ในการเจาะไม้ที่ไม่ได้มีขนาดที่กว้าง แต่มีข้อควรระวังดอกสว่านเจาะไม้ผลิตจากคาร์บอนต่ำ ทำให้ไม่สามารถทนความร้อนได้ 2. ดอกสว่านเจาะเหล็ก เป็นดอกสว่านที่สามารถเจาะได้หลายวัสดุ เช่น เหล็ก, อลูมิเนียม, ไม้เนื้ออ่อน พลาสติก จึงทำให้ดอกสว่านเจาะเหล็กมีหลายชนิด เช่น ดอกสว่านชุบดำ, ดอกสว่านไฮสปีด, ดอกสว่านไฮสปีดเคลือบไทเทเนียม, ดอกสว่านเจาะสแตนเลส, ดอกสว่านทรงเจดีย์ และดอกสว่านโฮวซอร์เจาะเหล็ก 3.ดอกสว่านเจาะปูนหรือเจาะคอนกรีต ลักษณะของดอกสว่านจะเป็นเกลียวบิด ส่วนปลายดอกเป็นเหล็กชุบแข็งพิเศษ ช่วยในการรองรับแรงกระแทกจากการใช้งาน ใช้ในการเจาะปูน ซีเมนต์ บล็อก หรืออิฐ เป็นต้น ชนิดของดอกสว่านเจาะปูนหรือคอนกรีต เช่น ดอกสว่านเจาะคอนกรีตก้านกลม, ดอกสว่านโรตารี่, ดอกสว่านโฮลซอว์เจาะคอนกรีต การใช้งาน • ควรตรวจสอบสว่านทุกครั้งก่อนใช้งาน • ควรเลือกสว่านและดอกสว่านให้เหมาะสมกับวัสดุที่ต้องเจาะและการนำไปใช้งาน • ก่อนเจาะควรตอกเหล็กนำศูนย์ตามตำแหน่งที่ต้องการและควรจับชิ้นงานให้แน่นก่อนทำการเจาะ • ออกแรงให้สัมพันธ์กับการหมุน เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานเอง • หากต้องการเจาะให้ทะลุควรมีวัสดุรองรับ • ในขณะใช้งานไม่ควรใช้มือดึงเศษวัสดุออก • ถ้าสว่านเกิดติดขัดกับรูเจาะควรปิดสวิตช์ทันที วิธีดูแลรักษา • ใช้หินเจียรเพื่อลับดอกสว่านให้คมอยู่เสมอ • หลังจากใช้งานทุกครั้งควรถอดดอกสว่านออกแล้วหมุนหัวจับดอกสว่านให้เข้าที่ • ควรทาจาระบีที่เฟืองและหัวจับดอกสว่านเดือนละครั้งเพื่อป้องกันการเกิดสนิม • ควรทำความสะอาดสว่านทุกครั้งหลังการใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เศษวัสดุต่าง ๆ มาติดที่มอเตอร์ • ควรจัดเก็บสว่านและดอกสว่านในตู้เก็บเครื่องมือช่างเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน เครื่องมือช่างสำหรับขันและไข เป็นเครื่องมือช่างพื้นฐานที่ใช้ในการขันและไขสำหรับนอตหรือสกรูนิยมมีไว้ติดบ้านมีการใช้งานอย่างหลากหลายจึงทำให้มีหลายประเภท เช่น ประแจ, ไขควง ซึ่งประแจและไขควงยังมีการแยกประเภทออกไปตามลักษณะการใช้งานดังนี้ 2.1 ประแจ เป็นเครื่องมือช่างที่มีหลายชนิดแต่ละชนิดก็มีลักษณะที่แตกต่างกันเพื่อรองรับการใช้งานช่างที่หลากหลาย โดยชนิดของประแจมีดังนี้       2.1.1 ประแจปากตาย เป็นชนิดของประแจที่ไม่ต้องใช้แรงขันหรือไขมากนักเพราะมีด้านที่รับแรงทั้ง 2 ด้าน ปลายทั้งสองด้านจะมีลักษณะคล้ายตะขอ ประแจปากตายเหมาะสำหรับงานที่อยู่ในที่ที่จำกัดเพราะจับเหลี่ยมนอตได้พอดี       2.1.2 ประแจแหวน ปลายทั้งสองข้างจะเป็นวงกลม เป็นชนิดของประแจชนิดที่มีแรงกดมาก จึงใช้ได้ดีกับนอตหรือสกรูที่ต้องใช้กับแรงขันมาก ๆ สามารถจับเหลี่ยมโบลท์และนอตได้เต็มที่แต่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจึงจะจับชิ้นงานได้อย่างสมบูรณ์ เหมาะใช้ในงานซ่อมรถยนต์, รถมอเตอร์ไซค์, รถจักรยาน และเครื่องจักรต่าง ๆ        2.1.3 ประแจบล็อก เป็นเครื่องมือช่างที่สำคัญสำหรับช่างยนต์มีหน้าที่ในการจับ ยึด ขัน หรือคลายหัวสกรู นอต สลักเกลียว โดยประแจบล็อกจะมีรูปร่างคล้ายท่อที่มีขนาดและความยาวที่แตกต่างกัน ส่วนด้านในมีเป็นลักษณะเป็นหยัก ๆ เพื่อช่วยให้ยึดนอตหรือสกรูให้แน่นมากขึ้นและต้องใช้ด้ามต่อประแจเพื่อให้สามารถจับและออกแรงได้ ประแจบล็อกใช้งานได้ดีสำหรับวัดแรงและกดขันนอต       2.1.4 ประแจเลื่อน เป็นชนิดของประแจที่มีปลายด้านหนึ่งมีลักษณะคล้ายหัวปลาสามารถปรับความกว้างของปากประแจใช้สำหรับขันเกลียว นอต หรือ ยึด อุปกรณ์ต่าง ๆ เหมาะสำหรับใช้ในงานถอดประกอบชิ้นส่วนเครื่องยนต์และเครื่องจักร การใช้งาน • เลือกใช้ประแจที่มีขนาดของปาก และความยาวของด้ามที่เหมาะสมกับงานที่ใช้ ไม่ควรต่อด้ามให้ยาวกว่าปกติ • ควรตรวจสอบปากของประแจก่อนใช้งานทุกครั้งต้องไม่ชำรุด เช่น สึกหรอ ถ่างออก หรือร้าว • ปากของประแจทุกประเภทเมื่อใช้งานต้องแน่นและคลุมเต็มหัวนอตหรือสกรูพอดี • สำหรับผู้ถนัดมือขวาควรใช้มือขวาจับปลายประแจ ส่วนมือซ้ายหาที่ยึดให้มั่นคงและสมดุล • การใช้งานประแจไม่ว่าจะขันหรือไขคลายต้องใช้วิธีดึงเข้าหาตัวเสมอ และเตรียมความพร้อม สำหรับปากประแจหลุดขณะขันด้วย • ในการใช้งานควรเลือกใช้ประแจชนิดปากปรับไม่ได้ก่อน เช่น ประแจแหวน หากขันหรือคลายไม่ได้จึงค่อยเลือกใช้ประแจชนิดปากปรับได้ เช่น ประแจเลื่อนแทน การใช้ประแจชนิดปากปรับได้ เช่น ประแจเลื่อน ควรให้ปากด้านที่เลื่อนได้อยู่ติดกับผู้ใช้เสมอ • ปากและด้ามของประแจต้องแห้งปราศจากน้ำมันหรือจาระบีเมื่อต้องการใช้งาน • การขันนอตหรือสกรูที่อยู่ในที่แคบหรือลึกควรใช้ประแจบล็อกเพราะปากของประแจสามารถสอดเข้าไปในรูที่คับแคบได้ วิธีดูแลรักษา • ไม่ใช้งานประแจผิดประเภทเช่นการตอกหรือตีแทนค้อน • ควรทำความสะอาดหลังเลิกใช้งานโดยชโลมน้ำมันเครื่องเพื่อไม่ให้เป็นสนิมให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น • หลีกเลี่ยงการใช้ประแจที่มีขนาดใหญ่กว่าสกรูหรือนอตเพื่อป้องกันอันตรายจากการลื่นไถล • ควรตรวจสอบประแจอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ประแจมีสภาพพร้อมในการใช้งาน 2.2 ไขควง เป็นเครื่องมือช่างที่มีลักษณะที่แตกต่างจากประแจแต่มีการใช้งานเหมือนกัน ไขควง เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งออกแบบมาเพื่อขันสกรูให้แน่นหรือไขคลายสกรูออก ลักษณะของไขควงด้านหนึ่งจะเป็นแท่งโลหะส่วนปลายจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันเพื่อให้ใช้ได้กับนอตหรือสกรูชนิดต่าง ๆ และอีกด้านหนึ่งจะมีด้ามจับคล้ายทรงกระบอกสำหรับการไขด้วยมือ แต่ไขควงบางชนิดจะหมุนด้วยมอเตอร์ หรือบางชนิดทำงานโดยการส่งทอร์กจากการหมุนไปที่ปลาย ตัวอย่างชนิดของไขควงมีดังนี้        2.2.1 ไขควงแฉก ปลายโลหะจะเป็นรูปกากบาทปลายเป็นมุมเหมาะสำหรับใช้รับมือกับแรงบิดที่สูงและหัวสกรูหรือนอตที่มีความลึกใช้ได้ตั้งแต่งานเฟอร์นิเจอร์จนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า        2.2.2 ไขควงแบน ปลายโลหะจะมีลักษณะเหมือนสิ่วใช้กับสกรูหรือนอตที่มีหัวเป็นร่องผ่าโดยต้องใช้ไขควงที่มีขนาดเหมาะสมกับร่องของนอตหรือสกรูเพราะหากใหญ่เกินไป อาจทำให้ไขควงลื่นออกจากร่องและเกิดอันตรายได้แต่หากมีขนาดเล็กเกินไปอาจทำให้ไขควงหรือนอตและสกรูเสียหายได้        2.2.3 ไขควงหกแฉก นิยมใช้ในการงานด้านยานยนต์ปลายของโลหะเป็นร่องหกแฉกซึ่งช่วยให้มีจุดรับน้ำหนักมากขึ้นเมื่อลงแรงหมุนลงไปทำให้ไขนอตหรือสกรูได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังใช้งานร่วมกับสว่านได้อีกด้วย        2.2.4 ไขควง Robertson เป็นชนิดของไขควงที่ให้แรงบิดสูงและช่วยล็อกนอตหรือสกรูได้ดีจึงนิยมใช้ในงานที่หัวนอตจมอยู่ใต้พื้นผิววัสดุ ไขควง Robertson ยังมีการกำหนดสีเพื่อใช้ระบุขนาดอีกด้วย 2.2.5 ไขควงหัวบล็อก ลักษณะของปากไขควงชนิดนี้จะเป็นบล็อกหกเหลี่ยมใช้สำหรับนอตหรือสกรูที่มีร่องเป็นหกเหลี่ยมป้องกันไม่ให้มีการลื่นไถลขณะใช้งาน การใช้งาน • ไม่ควรใช้ด้ามไขควงในการทุบแทนอุปกรณ์ค้อน • ไม่ควรใช้ไขควงงัดหรือแงะเพราะอาจจะทำให้ไขควงเกิดความเสียหาย • ไขควงชนิดที่มีด้ามจับเป็นฉนวนหรือยางหุ้มสามารถใช้งานเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าได้ • ควรเลือกใช้ประเภทและขนาดของไขควงให้เหมาะสมกับประเภทของงานและขนาดของนอตหรือสกรู • เมื่อไขควงชำรุดหรือเสียหายไม่ควรนำมาใช้ต่อ • การขันนอตหรือสกรูให้แน่นควรกดไขควงลงบนหัวนอตหรือสกรูให้แน่นและใช้แรงกลในการขันให้แน่นโดยให้หมุนไขควงไปทางขวาหรือตามเข็มนาฬิกาจนนอตหรือสกรูแน่น • การไขเพื่อคลายนอตหรือสกรูควรกดไขควงลงและหมุนไขควงไปทางซ้ายหรือหมุนทวนเข็มนาฬิกาจนกระทั่งนอตหรือสกรูถูกคลายออกจากชิ้นงาน วิธีการบำรุงรักษา • ก่อนการใช้งานควรตรวจสอบปลายของไขควงว่ามีลักษณะตรงกับชนิดของร่อง • และมีขนาดพอดีกับร่องของหัวนอตหรือสกรูที่จะทำการไขหรือไม่ หลังการใช้งานควรเช็ดทำความสะอาด ทาน้ำมันกันสนิมเก็บและเก็บไว้ในกล่องอะไหล่หรือตู้เก็บเครื่องมือเพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการใช้งาน Jenstore by Jenbunjerd ศูนย์รวมเครื่องมือช่างอุตสาหกรรม เช่น สว่านไฟฟ้า, บล็อกไฟฟ้า, เครื่องเชื่อม, เครื่องตัด, ลูกบล็อก, ประแจ, ไขควง, ไขควงลองไฟ, คีม, ดอกสว่าน, ปืนยิงกาว, แท่นตัด, แท่นเจียร ยินดีให้คำปรึกษาการเลือกใช้งานสินค้าเครื่องมือช่าง รับจัดหาสินค้าให้ตรงตามรูปแบบการใช้งานที่ต้องการ มีบริการหลังการขายพร้อมการรับประกันคุณภาพสินค้า สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
ล้อรถเข็นแบบไหน เหมาะสำหรับรถเข็นอุตสาหกรรม

ล้อรถเข็นแบบไหน เหมาะสำหรับรถเข็นอุตสาหกรรม ล้อรถเข็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ทรงพลังในการรองรับน้ำหนักในงานอุตสาหกรรม ในโรงงานอุตสาหกรรมความรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญของกระบวนการทำงานยิ่งสามารถทำให้กระบวนการทำงานรวดเร็วมากเท่าไรจะยิ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น ล้อรถเข็นอุตสาหกรรม จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเพิ่มความรวดเร็วให้กับธุรกิจ ล้อรถอุตสาหกรรม เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่นิยมติดตั้งที่ฐานของวัตถุที่มีขนาดใหญ่ หรือใช้ติดกับยานพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย เช่น รถเข็นประเภทต่าง ๆ ลักษณะของล้อรถเข็นอุตสาหกรรมจะมีทั้งทรงกลมและทรงกระบอกที่สามารถกลิ้งบนพื้นได้ดี ล้อรถเข็นสามารถผลิตได้จากหลายวัสดุ เช่น พลาสติก, ไนล่อน, ยูรีเทน, ยางธรรมชาติ, เหล็กหล่อ, สแตนเลส ฯลฯ โดยวัสดุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันจึงทำให้การนำไปใช้งานแตกต่างด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมยังต้องมีการคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็น เนื่องจากล้อรถเข็นมีหลายขนาดให้เลือกใช้งาน รวมไปถึงรูปแบบของล้อรถเข็นแต่ละแบบเช่น ล้อเป็น ล้อตาย อุปกรณ์เสริมที่ใช้ในการติดตั้งล้อรถเข็นทั้งหมดเป็นองค์ประกอบในการเลือกใช้ล้อรถเข็นในงานอุตสาหกรรมที่ต้องคำนึงถึงเพราะจะทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน องค์ประกอบในการเลือกล้อรถเข็นสำหรับงานอุตสาหกรรม ชนิดของล้อรถเข็น 1.1 ล้อรถเข็นชนิดแบบตายตัว เป็นล้อรถเข็นที่สามารถเดินหรือถอยหลังได้เท่านั้นไม่สามารถหมุนได้ 360 องศา มีโครงสร้างยึดคงที่เป็น เป็นล้อรถเข็นที่มีความแข็งแรงกว่าล้อชนิดอื่น รับน้ำหนักมาก ๆ ได้ เหมาะกับงานขรุขระ งานกลางแจ้ง โดยส่วนใหญ่ล้อรถเข็นชนิดนี้จะติดร่วมกับล้อรถเข็นแบบหมุน เพื่อให้มีทิศทางในการเคลื่อนที่ที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น และยังสามารถบังคับทิศทางได้ง่าย 1.2 ล้อรถเข็นแบบหมุน เป็นล้อรถเข็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถหมุนได้รอบทิศทาง 360 องศา เคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ สะดวกสบาย และคล่องตัว โดยสามารถพบเห็นได้ง่ายในรถเข็นช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้า, รถเข็นที่ใช้ขนสินค้าในโกดังสินค้า หรือรถเข็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลเป็นต้น 1.3 ล้อรถเข็นแบบเบรก จะมีเบรกเป็นองค์ประกอบในการติดตั้งล้อเพื่อให้ล้อหยุดการเคลื่อนที่ได้ทันทีตามที่ต้องการ โดยเฉพาะเมื่อต้องเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากที่มีการควบคุมทิศทางได้ยาก ล้อรถเข็นแบบเบรกจะช่วยให้สามารถควบคุมได้ง่ายยิ่งขึ้นและช่วยสร้างความปลอดภัยในการเคลื่อนย้าย ซึ่งเบรกของล้อรถเข็นยังมีหลากหลายแบบให้เลือกใช้งาน เช่น เบรกด้านข้าง, เบรกหน้าสัมผัส หรือเบรกล็อก 2 จังหวะ เป็นต้น รูปแบบการติดตั้งล้อรถเข็น 2.1 ล้อรถเข็นแบบขาแป้น หรือแบบแผ่นเพลทมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีการเจาะรูทั้ง 4 ด้านและใช้สกรูเพื่อยึดติดกับฐานของยานพาหนะซึ่งล้อรถเข็นแบบเพลทมีทั้งแบบที่หมุนปรับทิศทางได้และหมุนปรับทิศทางไม่ได้ การติดตั้งล้อรถเข็นแบบเพลทจะมีความแข็งแรง มั่นคง ไม่ทรุดตัวง่าย รองรับน้ำหนักได้ดี ล้อรถเข็นขาแป้นเหมาะสำหรับใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เคลื่อนย้ายขนาดใหญ่, เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก ๆ หรือรถเข็นอุตสาหกรรมทั่วไป 2.2 ล้อรถเข็นแบบเกลียว หรือแบบแกนเกลียวโดยทั่วไปมีอยู่ 2 แบบ คือ ล้อรถเข็นแบบสกรูและล้อรถเข็นแบบรูเจาะทะลุซึ่งทั้ง 2 แบบนี้เป็นวิธีติดตั้งแบบขันเกลียวทั้งคู่ ล้อรถเข็นแบบสกรู จะมีแท่งเกลียวโผล่ขึ้นมาจากบริเวณฐานล้อรถเข็นโดยจะยึดกับโครงสร้างเครื่องจักรที่มีรูเกลียวอยู่ด้านล่าง ส่วนล้อรถเข็นแบบรูเจาะทะลุจะเป็นแผ่นเพลทที่มีรูขนาดใหญ่ 1 รู มีไว้สำหรับร้อยโบลท์จากด้านล่างของฐานล้อรถเข็นเพื่อนำไปประกอบกับชิ้นงานและใช้แหวนรองร่วมกับนอตเพื่อยึดล้อรถเข็นเข้ากับยานพาหนะหรือสินค้าที่ต้องการเคลื่อนย้าย โดยส่วนมากล้อรถเข็นขาเกลียวจะนำมาใช้ยึดร่วมกับเหล็กฉากเพื่อให้เกิดความแข็งแรงและคงทนมากขึ้น เหมาะสำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก หรือรถเข็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กและขนาดกลาง แต่ถ้าหากต้องการให้ล้อรถเข็นชนิดนี้สามารถรองรับน้ำหนักได้มากขึ้นควรเลือกขนาดล้อขาเกลียวที่มีความยาวมากขึ้น 2.3 ล้อรถเข็นแบบปลั๊กอิน เป็นการติดตั้งแบบสวมหรือแบบเสียบเข้าไป รูปทรงภายนอกคล้ายกับล้อรถเข็นแบบขาเกลียว แต่ชิ้นส่วนที่ใช้ยึดเข้ากับวัตถุจะเป็นเดือยหรือแกนแหวนล็อก สามารถติดตั้งโดยการใช้เครื่องมือตอกอัดเข้ากับชิ้นงานได้ทันที การติดตั้งสะดวกและรวดเร็วมากกว่าแบบขาเกลียวและแบบขาแป้น เหมาะสำหรับรองรับงานที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น เก้าอี้ ชั้นวางของ หรือรถเข็น แค่ถ้าหากต้องการเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักก็ต้องเลือกใช้ล้อรถเข็นที่มีขนาดใหญ่และเพิ่มความยาวของแกนจะทำให้รับน้ำหนักได้มากขึ้น ประเภทของวัสดุที่ใช้ผลิตล้อรถเข็น 3.1 ล้อรถเข็นยางธรรมชาติ จะมีความยืดหยุ่นสูงจึงทำให้ไม่มีเสียงเวลาเข็นและไม่ทำให้พื้นเกิดเป็นรอย เหมาะสำหรับใช้เข็นบนพื้นไม้, พื้นกระเบื้อง, พื้นเซรามิก, หินอ่อน และคอนกรีต ซึ่งล้อยางธรรมชาติมีทั้งสีดำและสีเทา สีดำเหมาะสำหรับงานทั่วไป สีเทาเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความสะอาด เช่น โรงแรม, โรงพยาบาล, โรงอาหาร 3.2 ล้อรถเข็นยางสังเคราะห์ มีความทนทานสูง มีเสียงรบกวนในการเคลื่อนที่ต่ำ และไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้น มีความทนทานต่อสารเคมี น้ำ และน้ำมัน ใช้งานบนพื้นพรมได้ดีเหมาะสำหรับใช้งานเฟอร์นิเจอร์ รถเข็นสำนักงาน ฯลฯ 3.3 ล้อรถเข็นไนล่อน มีความแข็งแแรง ไม่แตกหักได้ง่าย ไม่เกิดการยุบตัว ล้อไนล่อนมีสีขาวจึงไม่ทิ้งรอยสกปรกบนพื้นผิว สามารถทนทานต่อความร้อน ความเย็น สารเคมี และการกัดกร่อนได้ดี สามารถใช้งานในพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือเปียกชื้นได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถนำไนล่อนไปผสมกับแก้วโบโรซิลิเกต เพื่อให้ล้อรถเข็นสามารถทนอุณหภูมิสูงได้ เหมาะสำหรับใช้ในงานที่ต้องรับน้ำหนักขณะหยุดนิ่งเป็นเวลานาน เหมาะกับพื้นที่อยู่กลางแจ้งและพื้นขรุขระ เช่น ผิวคอนกรีต กระเบื้องเนื้อแข็ง นิยมใช้ในห้องเย็น, โรงพยาบาล, โรงอาหาร, รถเข็นอุตสาหกรรม หรือชั้นวางของ 3.4 ล้อรถเข็นยูรีเทน มีคุณสมบัติที่โดดเด่นในการทนต่อการฉีกขาด สามารถรับน้ำหนักมาก ๆ ได้ ล้อยูรีเทนไม่ทำให้พื้นเป็นรอยขีดข่วนในขณะใช้งาน มีความยืดหยุ่นสูง รองรับแรงกระแทกได้ดี มีน้ำหนักเบา และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกันเมื่อเทียบกับล้อยางชนิดอื่น สามารถใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร หรือในพื้นผิวที่หยาบ ผิวขรุขระ และมีเศษวัสดุแหลมคม 3.5 ล้อรถเข็นพีพี มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา มีความเหนียว ทนต่อแรงกระแทก ทนต่อความร้อน สามารถทนต่ออุณหภูมิในการฆ่าเชื้อได้ ทนทานต่อจาระบีและน้ำมันต่าง ๆ ไม่ก่อให้เกิดรอยบนพื้นและไม่เสียรูปได้ง่ายเหมาะสำหรับ งานในโรงแรม โรงพยาบาลและสถานที่ที่ต้องการความสะอาดเป็นอย่างมาก 3.6 ล้อรถเข็นเหล็ก มีความแข็งแรงและทนทานสูง ทนต่อแรงกระแทก รองรับงานหนักได้ดีสามารถใช้ได้ทั้งพื้นเรียบ พื้นผิวหยาบและพื้นผิวขรุขระเหมาะในการใช้งานนอกอาคาร งานกลางแจ้ง และอุตสาหกรรมหนัก ไม่ควรใช้กับพื้นไม้ พื้นกระเบื้อง หรือพื้นหินอ่อน เพราะจะทำให้เป็นรอย และเกิดการเสียหายได้ ซึ่งล้อรถเข็นเหล็กก็มีหลายชนิด เช่น ล้อรถเข็นเหล็กหล่อ, ล้อรถเข็นเหล็กอัดขึ้นรูป, ล้อรถเข็นเหล็กร่อง 3.7 ล้อรถเข็นสแตนเลส จะมีผิวเรียบมันวาว มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักได้มาก ต้านทานต่อการกัดกร่อนและสารเคมี เป็นวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการปนเปื้อน ไม่เป็นสนิท เป็นวัสดุที่ถูกสุขอนามัยจึงเหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ การคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็น ล้อรถเข็นจะติดตั้งตามจุดต่าง ๆ ของยานพาหนะ เช่น มุมทั้ง 4 ด้านหรือตรงกลาง และยังมีหลายประเภทและหลายขนาด ความสามารถในการรับน้ำหนักย่อมมีความแตกต่างกัน และในบางครั้งการวางสิ่งของเพื่อเคลื่อนย้ายอาจจะไม่ได้วางไว้ตรงจุดศูนย์กลางเสมอไป การกระจายน้ำหนักของสิ่งของบนรถเข็นจึงมีการกระจายน้ำหนักอย่างไม่สม่ำเสมอ ล้อรถเข็นด้านใดด้านหนึ่งอาจมีการรับน้ำหนักที่มากเกินไปได้ ซึ่งการคำนวณความสามารถในการรับน้ำหนักของล้อรถเข็นจะช่วยค้นหาน้ำหนักที่เหมาะสมต่อการบรรทุกของล้อแต่ละขนาด น้ำหนักที่ปลอดภัยสำหรับในการเคลื่อนย้ายของรถเข็นจะอยู่ที่ 75% ของน้ำหนักสูงสุดที่รถเข็นรองรับได้ หลักการคำนวณ น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = น้ำหนักที่รองรับได้ต่อล้อ x จำนวนล้อรถเข็น x 0.75 ตัวอย่างการคำนวณ รถเข็น 4 ล้อ ล้อรถเข็นแต่ละลูกสามารถรับน้ำหนักได้ 125 กิโลกรัม น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = 125 x 4 x 0.75 น้ำหนักที่ปลอดภัยในการใช้งาน = 375 กิโลกรัม การเลือกล้อรถเข็นที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลายปัจจัยในการเลือกใช้งาน ทุกปัจจัยเป็นส่วนช่วยให้ล้อรถเข็นมีความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้าย การเลือกล้อรถเข็นควรเลือกใช้งานให้สอดคล้องกับลักษณะงาน แต่ปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้ามีประสิทธิภาพคือการเลือกใช้วัสดุที่ผลิตล้อรถเข็นที่เหมาะสมกับประเภทของอุตสาหกรรม น้ำหนักที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย และสภาพแวดล้อมของอุตสาหกรรม เพราะวัสดุที่ใช้ในการผลิตล้อรถเข็นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น อุตสาหกรรมที่ต้องการความสะอาดถูกสุขอนามัยก็ควรเลือกใช้ล้อรถเข็นที่ผลิตจากยาง, ยูรีเทน หรือสแตนเลส หากต้องการเคลื่อนย้ายสินค้าที่มีน้ำหนักมากก็ควรเลือกใช้ล้อเหล็ก, ล้อไนล่อน หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำ เปียกชื้น หรือมีสารเคมีในการผลิตก็ควรเลือกใช้ล้อไนล่อนหรือล้อยางสังเคราะห์ เป็นต้น Jenstore by Jenbunjerd จำหน่ายอุปกรณ์สำหรับงานอุตสาหกรรม ล้อรถเข็นอุตสาหกรรม เช่น ล้อยาง, ล้อยูรีเทน, ล้อไนล่อน ฯลฯ ผลิตด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูง ใส่ใจทุกขั้นตอนในการผลิต แข็งแรงและทนทานหมดปัญหาเรื่องยางแตก มีมาตรฐานและคุ้มค่าคุ้มราคา ยินดีให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในทุกขั้นตอนพร้อมการรับประกันสินค้าเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะรับบริการและสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจาก Jenstore สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
จัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีแต่คำว่าปังตลอดปี

จัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีแต่คำว่าปังตลอดปี จัดโต๊ะทำงานให้ดีตามฮวงจุ้ยช่วยเพิ่มพลังบวกทั้งการงานและการเงิน ฮวงจุ้ย เป็นความเชื่อของคนจีนที่เกี่ยวกับความสมดุลโดยเน้นเกี่ยวกับการจัดที่อยู่อาศัยหรือสภาพแวดล้อมที่มีความสัมพันธ์กับพลังงานต่าง ๆ รอบตัว เป็นความเชื่อที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ดังนั้นคนที่มีความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงานจะต้องมีการจัดองค์ประกอบที่ถูกต้องตามศาสตร์ฮวงจุ้ย โดยเฉพาะห้องทำงานที่เป็นพื้นที่ในการสร้างงานและสร้างเงินซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดสำคัญคือการจัดโต๊ะทำงาน เป็นแหล่งของพลังกายและพลังสมอง การจัดโต๊ะทำงานที่ดีตามหลักฮวงจุ้ยจะช่วยให้การทำงานมีความคล่องตัว สะดวกในการหยิบจับ มีพลังของความเชื่อที่ส่งเสริมให้การงานมีความรุ่งเรืองและปังตลอดปี ซึ่งหลักของการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยมีดังนี้ เทคนิคการจัดโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ย ที่งานและเงินมีแต่คำว่าปัง ขนาดของโต๊ะทำงาน ขนาดของโต๊ะทำงานควรมีความสอดคล้องกับความสูงและขนาดของร่างกายเพื่อให้การนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานมีความคล่องตัว สะดวกในการเคลื่อนไหว และสบายในอิริยาบถต่าง ๆ โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องนั่งทำงานนาน ๆ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหลักของฮวงจุ้ยเพราะหลักของฮวงจุ้ยไม่ใช่แค่เรื่องสวยงามหรือความเป็นสิริมงคลเท่านั้นแต่ยังหมายถึงความสะดวกสบายในการใช้งานที่จะช่วยส่งเสริมให้การทำงานมีพลังและประสิทธิภาพ เพราะหากคุณนั่งทำงานที่โต๊ะทำงานโดยที่ไม่มีความสะดวกสบายในการทำงานในหลักการฮวงจุ้ยหมายความว่าคุณจะโดนกดทับจากงานและผู้มีอำนาจตลอดเวลา นอกจากนี้ขนาดของโต๊ะทำงานยังเปรียบเสมือนอำนาจของตำแหน่งและปริมาณของงานยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไรขนาดของโต๊ะจะมีขนาดใหญ่กว่าพนักงานทั่วไป รูปทรงของโต๊ะทำงาน ตามหลักฮวงจุ้ยโต๊ะทำงานแต่ละทรงให้พลังในการทำงานที่แตกต่างกัน โดยรูปทรงโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยที่นิยมนำมาใช้งานมีอยู่ 3 รูปทรงด้วยกัน คือ 2.1 ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปทรงที่ดีในการนั่งทำงานเพราะมุมเหลี่ยมสะท้อนถึงความมีระเบียบแบบแผน ทำงานอย่างมีระบบ และมีสมาธิที่มั่นคง และยังเป็นรูปทรงที่ทำให้การทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น สามารถวางอุปกรณ์และเครื่องมือสำนักงานได้จำนวนมาก มากกว่ารูปทรงโต๊ะทำงานแบบอื่น ๆ 2.2 โต๊ะทำงานทรงกลม เหมาะสำหรับการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีให้เกิดขึ้นได้เพราะรูปทรงของโต๊ะช่วยให้ผู้ที่นั่งหันหน้าเข้ามาคุยแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน 2.3 โต๊ะทำงานทรงโค้ง ช่วยจัดสมดุลในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและช่วยสร้างมิตรไมตรีต่อเพื่อนร่วมงาน วัสดุของโต๊ะทำงาน วัสดุของโต๊ะทำงานจะช่วยส่งเสริมพลังในการทำงานซึ่งวัสดุแต่ละชนิดก็มีพลังงานในการส่งเสริมที่แตกต่างกันดังนี้ 3.1 โต๊ะทำงานไม้ เป็นพลังที่ช่วยให้การทำงานได้รับการสนับสนุน 3.2 โต๊ะทำงานกระจก ด้วยกระจกมีความใสจึงเป็นพลังงานไหลเวียนได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งอาจมีการไหลเวียนเร็วเกินไปจนทำให้เสียสมดุลได้ แก้ได้โดยการนำต้นไม้มาวางประดับโต๊ะทำงานเพื่อให้การไหลเวียนมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น 3.3 โต๊ะทำงานลามิเนต เป็นวัสดุที่กำลังเป็นที่นิยมเพราะมีความทนทานและมีความสวยงาม โต๊ะทำงานลามิเนตช่วยให้พลังมีความสมดุลทำให้ส่งผลที่ดีต่อการทำงาน 3.4 โต๊ะทำงานโลหะ โลหะมีความแข็งแรงจึงช่วยเสริมพลังด้านจิตใจและทำให้มีสมาธิในการทำงานมากยิ่งขึ้น ทิศและตำแหน่งการวางโต๊ะทำงาน เป็นหนึ่งหลักสำคัญของหลักฮวงจุ้ยโดยเฉพาะโต๊ะทำงานของผู้บริหาร โดยทิศและตำแหน่งการวางโต๊ะทำงานตามหลักฮวงจุ้ยเป็นการจัดตามสภาพแวดล้อมตามทิศทางของลมและทิศทางของน้ำ โดยพิจารณาตามสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในห้องทำงาน เริ่มตั้งแต่โต๊ะทำงาน ประตู ทางเข้า และตำแหน่งของโต๊ะทำงาน โดยทิศที่เหมาะสมในการวางโต๊ะทำงานผู้บริหารตามหลักฮวงจุ้ยที่ดีควรอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นตำแหน่งที่เหมาะกับผู้ที่มีตำแหน่งอาวุโสหรือตำแหน่งของผู้บริหาร ซึ่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นตำแหน่งของความเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา และความมั่งคั่ง สำหรับตำแหน่งของการวางโต๊ะทำงานควรวางในจุดที่มองเห็นภายในของห้องอย่างชัดเจน จะช่วยเรื่องอำนาจบารมีและความหนักแน่นได้ นอกจากนั้นตำแหน่งโต๊ะทำงานที่ถูกหลักฮวงจุ้ยไม่ควรอยู่ตรงกับประตูเพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาและความวุ่นวาย เงินทองและโชคลาภไหลออก และหน้าประตูไม่ควรมีสิ่งของกีดขวางเพราะจะทำให้การไหลเวียนของพลังงานมีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ในส่วนของด้านหลังของโต๊ะทำงานควรเป็นกำแพงทึบ เปรียบเสมือนเป็นพลังของภูเขาใหญ่ที่จะคอยเกื้อหนุนให้คนคอยสนับสนุนและมีอำนาจ แต่หากไม่มีกำแพงก็ควรหาตู้หรือต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่วางไว้ด้านหลังแทน ไม่ควรปล่อยให้ด้านหลังโต๊ะทำงานว่างหรือเปิดโล่งโดยเด็ดขาด และไม่ควรตั้งโต๊ะทำงานในมุมอับของห้องเพราะเปรียบเสมือนเป็นทางตัน มีความอึดอัด ความคับข้องใจและหาทางออกไม่ได้ การจัดวางสิ่งของบนโต๊ะทำงาน เป็นการเสริมบารมีและช่วยให้การทำงานราบรื่น ด้านซ้ายของโต๊ะทำงานควรวางสิ่งของที่เกี่ยวกับความรู้และอำนาจ เช่น คอมพิวเตอร์, ชั้นวางหนังสือ, ชั้นวางของ ส่วนด้านขวามือของโต๊ะทำงานควรวางสิ่งของที่เกี่ยวกับการประสานงาน ความคิดสร้างสรรค์ และความสัมพันธ์ เช่น รูปครอบครัว, ต้นไม้ต้นเล็ก ๆ , กล่องใส่ปากกา, ปากกาสีต่าง ๆ เสริมวัตถุมงคลบนโต๊ะทำงาน ที่จะช่วยเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้มากยิ่งขึ้นเป็นพลังเสริมที่จะสร้างพลังงานให้กับการทำงาน ซึ่งวัตถุมงคลที่สามารถวางเสริมบนโต๊ะทำงานได้มีหลายชนิด เช่น 6.1 แก้วน้ำหรือหินนำโชค หากวางไว้บนโต๊ะทำงานจะช่วยดูดทรัพย์และรับพลังงานด้านดีเข้ามา แต่ควรหมั่นทำความสะอาดให้มีความใสสะอาดอยู่เสมอ 6.2 เต่าคริสตัล เต่าเป็นสัตว์มงคลที่จะช่วยดูดซับพลังงานด้านบวกรอบตัวมาเสริมพลังให้กับผู้ที่นั่งโต๊ะทำงาน เป็นพลังงานที่สนับสนุนทั้งในหน้าที่ด้านการงาน ด้านการเงิน ความมั่งคั่งและความมั่นคงในตำแหน่งการงาน 6.3 ต้นไม้ขนาดเล็ก เป็นสิ่งมงคลยอดนิยมที่มักนำมาประดับตกแต่งบนโต๊ะทำงาน ต้นไม้จะช่วยเพิ่มออกซิเจนและสร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กับห้องทำงานได้ และยังมีความหมายของพลังงานที่ดีในการงานทำงาน ซึ่งแต่ละประเภทของต้นไม้ก็ให้พลังที่แตกต่างกันออกไป เช่น ต้นโฮย่าหัวใจ ช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานและช่วยเพิ่มพลังอำนาจให้มีมากยิ่งขึ้น, ต้นเศรษฐีเรือนใน ช่วยดูดซับสารพิษและเสริมด้านโชคลาภ, ต้นออมเงิน ช่วยในการออมทรัพย์ ทำให้การทำงานมีรากฐานมั่นคง และควบคุมการใช้เงินไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป, ต้นโป๊ยเซียนแคระ เชื่อว่าจะนำโชคลาภมาให้และยิ่งถ้าออกดอก 8 ดอกขึ้นไปจะยิ่งช่วยเพิ่มโชคลาภมากยิ่งขึ้น, ต้นไผ่กวนอิม เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนโบราณมักนำมาใช้ประกอบพิธีบูชาเทพเจ้า จะช่วยเสริมดวงในด้านโชคลาภและนำพาเงินทองและของมีค่ามาสู่เจ้าของโต๊ะทำงาน, ต้นเฟิร์นข้าหลวง ช่วยเสริมความภูมิฐานและเกียรติยศให้กับครอบครัว นอกจากทั้ง 6 ข้อนี้ยังมีหลักในการจัดโต๊ะทำงานที่เป็นเหมือนกุศโลบายให้เจ้าของโต๊ะจัดโต๊ะทำงานให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากยิ่งขึ้น เช่น ไม่ควรปล่อยให้โต๊ะทำงานรกเพราะเปรียบเสมือนสร้างอุปสรรคให้กับการทำงานทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยลงไป ซึ่งการจัดโต๊ะทำงานตามหลักของฮวงจุ้ยนอกจากจะให้ความเชื่อมั่นทางด้านจิตใจแล้วในด้านของฟังก์ชันการใช้งานก็ช่วยสร้างให้โต๊ะทำงานมีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น Jenstore by Jenbunjerd ผู้ผลิตและจำหน่ายโต๊ะทำงาน, โต๊ะสำนักงาน, โต๊ะทำงานเหล็ก, โต๊ะทำงานไม้, โต๊ะอเนกประสงค์, โต๊ะคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นยังจำหน่ายเก้าอี้สำนักงานที่แข็งแรงและทนทานมีหลายชนิดและหลายแบบให้เลือกสั่งซื้อ โดยอุปกรณ์ทั้งหมดผลิตจากวัสดุที่มีมาตรฐานภายใต้แบรนด์คุณภาพ พร้อมการรับประกันสินค้าคุณภาพ 100% และการบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่จะช่วยให้การซื้อสินค้าของคุณเป็นเรื่องง่ายและได้สินค้าที่มีประสิทธิภาพตามความต้องการของคุณมากที่สุด สนใจสินค้าติดต่อเรา Website : https://www.jenstore.com (Live Chat) ฝ่ายขาย : 02-096-9999 (200 คู่สาย) Email : [email protected]บริการลูกค้า : 02-096-9898 ext 3102-3103 Email : [email protected] LINE Official Account: @jenstore Facebook : เจนสโตร์ - JenStore by Jenbunjerd

2023-09-25
×
สายด่วนสั่งซื้อสินค้า บริการจัดหาสินค้า สินค้าสั่งทํา 02 096 9999
บริการหลังการขาย 02 096 9898
ต่อ 3102-3103
ไลน์ @jenstore
เวลาทําการ 08.30 - 17.30 น.
Copy to Clipboard